“ข้าวพื้นนุ่ม” ตีตลาด “ข้าวหอมมะลิ” โรงสีเจ๊ง

ThaisoftRiceMarket

นายกสมาคมชาวนาแฉเหตุทำไมโรงสีอีสานกีดกันข้าวพื้นนุ่ม ระบุมีสต๊อกข้าวหอมมะลิราคาสูงไว้ “ข้าวพื้นนุ่ม” ตีตลาดขาดทุนยับขายไม่ออก อีกด้านคนไทยจนลง ต้องหาข้าวถูกกว่ารับประทานแทน

ศึก “ข้าวพื้นนุ่ม” กับ “ข้าวหอมมะลิ” เป็นมหากาพย์ดราม่าซีรีย์จบไม่ลงแล้ว วันนี้สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กลับมาแฉต่อเนื่อง ทำไมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) กีดกันข้าวพื้นนุ่ม ทำไมต้องกีดกัน ต้องมาฟังความจริง

PramotChareansilp

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ภาพรวมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการข้าวถุง ซึ่งจะบรรจุถุงขายข้าวหอมมะลิ จากการที่ไทยได้มีการรณรงค์ปลูกข้าวพื้นนุ่มมาประมาณ 2-3 ปี จึงทำให้เกษตรกรชาวนาส่วนใหญ่เริ่มจะหันไปเปลี่ยนมาปลูกข้าวพื้นนุ่มมากขึ้น ซึ่งได้ราคากว่าข้าวเปลือกจ้าว หรือข้าวชนิดแข็ง ขณะที่ข้าวหอมมะลิก็ปลูกได้ครั้งเดียวต่อปี จึงเป็นที่มาของชาวนาในภาคอีสาน ไม่ต่างจากชาวนาภาคกลางที่จะต้องดิ้นรนปลูกข้าวพันธุ์อื่นในแปลงเดียวกัน

“ผมในฐานะนายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เราคำนึงถึงรายได้ของชาวนาของเรา วันนี้ต้องขอบคุณกรมการข้าว บุคลากรนักวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าว  มีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายให้ชาวนา  ชาวนาต้องการพันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ ในเรื่องต้นเตี้ย ผลผลิตที่สูง อายุในการเพาะปลูกถึงระยะสั้น ตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคในประเทศ และให้ผู้ส่งออกส่งต่างประเทศได้มีข้าวหลายชนิดข้าว สมาคมผู้ส่งออกเคยบอกว่าเราเสียตลาดให้กับคู่แข่งเฉพาะประเทศเวียดนาม ได้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวนุ่ม เข้าไปแย่งตลาดข้าวของไทยไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เราส่งออกน้อยลง และถ้าส่งออกน้อยลง จะทำให้มีผลกระทบต่อชาวนา”

KaoHompauang

เมื่อเราปลูกข้าวหอมพวง หรือที่รู้จักกันในหมู่ชาวนาเรียกกันติดปากว่า ข้าวหอมเวียดนาม มีผลผลิตดี อายุสั้น เป็นข้าวนุ่ม แต่กรมการข้าวไม่รับรองพันธุ์ก็ส่งออกไม่ได้ ใช้กินในประเทศอย่างเดียวก็กินไม่หมด แล้วก็ล้นตลาดส่งออกก็ไม่ได้ เราอยากจะได้พันธุ์ข้าวที่กรมการข้าวรับรองพันธุ์ ที่ตอบโจทย์แบบข้าวหอมพวง ที่เป็นพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว คือ กข.79 และกข.87 ที่เราปลูกและกำลังจะปลูกมากขึ้น แต่ติดที่อายุการเพาะปลูกมันยาวเกินไป คืออายุ 130-140 วัน เราต้องการให้ข้าวกข.79 และข้าวกข.87 อายุไม่เกิน 100-110 วัน กรมการข้าวต้องช่วยพัฒนาให้ได้โดยเร็ว ในส่วนของข้าวพื้นแข็งก็เหมือนกัน ต้องต้นเตี้ย อายุสั้น ผลผลิตดี ชาวนาจะได้สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมตามพื้นที่และตามความต้องการของตลาด ชาวนาปลูกข้าวหอมพวงก็โดนว่า ปลูกข้าวนุ่มก็โดนกีดกัน อะไรกันนักหนา ผมไม่เข้าใจ สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกมาให้ข่าวต่อต้านไม่หยุด ชาวนาปลูกข้าวพื้นนุ่ม ข้าวจะปนข้าวหอมมะลิ ถ้าคนมันนิสัยไม่ดี ไม่ว่าอะไรมันก็ปน อย่ามาโทษข้าว โทษชาวนา

นายปราโมทย์ กล่าวว่า ถ้าชาวนามีทางเลือกปลูกข้าวนุ่มที่มีผลผลิตดีกว่าข้าวหอมมะลิ และต้นทุนต่ำมีเงินเหลือมากกว่า ถามหน่อยถ้าคุณเป็นชาวนา คุณจะเลือกปลูกอะไร ถ้ามีโอกาสที่จะเลือก ตกลงคุณห่วงผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มหรือห่วงข้าวหอมมะลิของชาวนาที่ทำให้คนบางคนร่ำรวยกันแน่ แต่ในความเป็นจริงชาวนาเป็นไง อีสานมีพื้นที่สามารถปลูกข้าวนาปรังได้หรือทำนาได้ปีละสองครั้งหรือ   หากเขาต้องได้รับพันธุ์ข้าวที่ดี ผลผลิตสูง ทำให้ต้นทุนต่ำมีรายได้มากขึ้น มีข้าวให้ท่านสีตลอดท่านไม่ชอบหรือ น่าจะดีกับท่าน ดีกับชาวนา อย่ามาอ้างว่าปนโน่น ปนนี่ โรงสีดูข้าวไม่เป็นหรือ ผมเห็นจังหวัดอื่นชาวนาปลูกข้าวได้ตั้งหลายชนิด ไม่เห็นมีปัญหาก็ซื้อขายกันได้

Ricesundry

ถ้าปลูกข้าวหอมมะลิดี ผลผลิตดี ชาวนามีเงินมากกว่าปลูกข้าวอื่น ชาวนาเขาก็ไม่ไปปลูกข้าวอื่น ก็เหมือนโรงสีนั่นแหละ คุณทำไมไม่ไปห้ามประเทศเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม ปลูกข้าวนุ่มละ ไปบอกเขาเลย อย่าปลูก อย่าขาย เพราะทำให้ข้าวเราขายไม่ได้ สู้ราคาไม่ได้ ขายได้น้อยลง น่าจะดีกว่ามาห้ามชาวนาผม ผมไม่ยอมแน่ อย่างไรก็ดีจากการที่ออกมาต่อต้านนั้น ก็เพราะสาเหตุจริง ก็มาจาก “ข้าวพื้นนุ่ม” ตีตลาด “ข้าวหอมมะลิ” ทำให้โรงสีขายข้าวไม่ออก ราคาตกต่ำลง ตอนนี้กอดสต๊อกข้าวราคาสูงไว้มาก สาเหตุที่ข้าวพื้นนุ่มขายดีเพราะคนไทยฐานะจนลง ก็หันไปเลือกข้าวบริโภคราคาถูกลง เป็นธรรมดาตามกลไกตลาด

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 28 ก.ย. 2563  

ส่งออกข้าวไทยต่ำสุดรอบ 10 ปี จี้รัฐส่ง “พันธุ์ข้าวขาวพื้นนุ่ม” สู้ตลาดโลก

ThaiRiceExport2020

FILE PHOTO: REUTERS/ Athit Perawongmetha

ข้าวไทยวิกฤตต่ำสุดเสี่ยงส่งออกหดเหลือแค่ 4-5 ล้านตันใน 3-4 ปีข้างหน้าล่าสุด 5 เดือนแรกปีนี้ยอดตก 31% คาด ”เวียดนาม” แซงไทยขึ้นแท่นเบอร์ 3 ส่งออกทะลุ 7 ล้านตันเป็นปีแรก ส่วนไทยทำได้แค่ 6 ล้านตัน จากปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า บาทแข็ง-แล้งกระทบผลผลิต-ผู้นำเข้าสต๊อกเต็ม “เอกชน” จี้แก้ปัญหาพันธุ์ข้าว เสริมศักยภาพแข่งขัน ส่ง ”ข้าวขาวพื้นนิ่ม” ลงสนามแข่ง

นายวัลลภ มานะธัญญา อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวในงานการประกวดข้าวเพื่อรองรับและส่งเสริมการส่งออกของตลาดข้าวโลก ประจำปี 2563 ว่า จากการติดตามประเมินสถานการณ์การแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลกเทียบกับคู่แข่งหลัก 5 ประเทศ พบว่า การส่งออกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาศักยภาพและคุณภาพข้าวลดลง หากไม่เร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวเพิ่มผลผลิตลดต้นทุน ขยายช่องทางการขาย คาดว่ามีโอกาสการส่งออกข้าวทั้งปี 2563 จะเหลือเพียง 6 ล้านตัน ต่ำกว่าเป้าหมายที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยวางไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 จากเดิมที่เป็นอันดับ 2รองจากอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะส่งออกได้ 10 ล้านตัน และเวียดนามจะขยับจากอันดับ 3 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 คาดว่าจะส่งออกได้ 7 ล้านตัน

จากการติดตามการส่งออกข้าวไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2561 ส่งออกปริมาณ 11 ล้านตัน ปี 2562 การส่งออกข้าวทั้งปี 7.5 ล้านตัน ขณะที่ช่วง 5 เดือน(มกราคม-พฤษภาคม) 2563 ไทยส่งออกได้เพียง 2.5 ล้านตัน ลดลง 31.9% และเมื่อดูปริมาณการส่งออกรายเดือนลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักมาจากราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง 50-60 เหรียญสหรัฐต่อตัน

โดยหากเทียบราคาข้าวส่งออกไทยกับประเทศส่งออกข้าวอื่น พบว่าราคาข้าวที่ซื้อขายล่วงหน้า ในส่วนของข้าวขาวไทยตันละ 505-509 เหรียญสหรัฐ เวียดนามตันละ 463-467 เหรียญสหรัฐ และอินเดียตันละ 368-372 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลูกค้าย่อมเลือกสินค้าที่มีราคาถูกกว่า เพราะต้องยอมรับว่าคุณภาพข้าวประเทศคู่แข่งนั้นมีคุณภาพข้าวที่ดีขึ้นเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับไทย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งความนิยมบริโภคข้าวเปลี่ยนไป ปัญหาของโควิด-19 ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น หากทุกฝ่ายไม่ร่วมมือกันและไม่เพิ่มศักยภาพ และคุณภาพข้าวไทยให้ดีกว่าคู่แข่ง มีโอกาสที่การส่งออกข้าวไทยจะลดลงอย่างมาก 

“ปริมาณการซื้อ-ขายข้าวในตลาดโลกต่อปี เฉลี่ย 44-45 ล้านตัน โดยข้าวขาวเป็นข้าวที่มีปริมาณการซื้อ-ขายกันมากที่สุด เฉลี่ยต่อปี 21 ล้านตัน และมีแนวโน้มปริมาณความต้องการก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้าวขาวพื้นนุ่มหรือข้าวขาวพื้นนิ่ม ซึ่งขณะนี้มีประเทศที่ส่งออกข้าวกลุ่มนี้เพียงเวียดนามและปากีสถานเท่านั้น ขณะที่ข้าวขาวพื้นแข็งมีประเทศที่ส่งออก คือ ไทย เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และจีน แข่งขันกันมากกว่า ส่วนประเทศผู้นำเข้าข้าวขาวพื้นนุ่ม เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย จีน อินโดนีเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นตลาดสำคัญของไทย หากความต้องการมีเพิ่มขึ้น แต่ประเทศไทยไม่พัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ไทยก็เสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปมากขึ้น และยิ่งปริมาณผลผลิตต่อไร่ของไทยน้อยส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในตลาด ทำให้ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งอีก หากไม่ทำอะไรเลยเชื่อว่าภาย ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า มีโอกาสที่จะเห็นการส่งออกข้าวไทยต่อปีเหลือ 4-5 ล้านตันแน่นอน”

แนวโน้มผู้แข่งขันข้าวในตลาดโลกจะมีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน โดยเฉพาะจีนอาจกลายเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกในอีก 3-5 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ เห็นได้จากการที่จีนพัฒนาพันธุ์ข้าวเพิ่มขึ้น ปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกยังน้อย เช่น ปี 2561 จีนส่งออกข้าว 2.09 ล้านตัน เพิ่มเป็น 2.75 ล้านตันในปี 2562 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งที่น่าจับตา คือ ปริมาณข้าวในสต๊อกของจีนมีถึง 117 ล้านตัน เพื่อการบริโภคภายในประเทศโดยจะเห็นได้ว่าปริมาณการผลิตข้าวของจีนมีปริมาณมาก โอกาสที่จะระบายข้าวออกมาในตลาดก็เป็นไปได้มากเช่นกัน

นายวัลลภกล่าวอีกว่า สิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันตลาดข้าวนั้น คือ การพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทยโดยเฉพาะข้าวขาวพื้นนุ่ม การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามแล้ว เวียดนามมีพื้นที่การเพาะปลูกข้าวเพียง 7 ล้านไร่ แต่กลับมีผลผลิต 45 ล้านตันต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่การเพาะปลูกข้าวอยู่ที่ 11 ล้านไร่ ผลผลิตมีเพียง 32 ล้านตันต่อปี ทำอย่างไรให้ผลผลิตข้าวไทยเพิ่มขึ้นลดต้นทุนการเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรขายข้าวได้ราคาดี นอกจากนี้ยังต้องการให้มีการปรับปรุงมาตรฐานการส่งออกข้าวหอมมะลิเพื่อการส่งออกด้วย โดยจัดให้มีการตั้งหน่วยงานตรวจสอบรับรองการเพิ่มด้วย

ด้านนายสมเกียรติ มรรคยาธร เลขาธิการสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวระหว่างบรรยายเรื่อง ตลาดข้าวไทย :โอกาสและความท้าทายในตลาดโลก ว่า คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังนี้ สินค้าเกษตรไทยมีโอกาสแย่ลง คาดว่าราคาสินค้าเกษตรอาจจะหดตัว 4.5% ได้ โดยการส่งออกข้าวในเดือนมิถุนายน 2563 ไทยมีโอกาสทำได้ 450,000-500,000 ตันจากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อราคาข้าวไทยในตลาดโลก ปัญหาภัยแล้งทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง ประเทศผู้นำเข้ามีสต๊อกข้าวเพียงพอแล้ว จีนมีสต๊อกข้าวเพิ่มขึ้น ประเทศคู่แข่งพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง เวียดนาม มีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป และเป็นสมาชิกความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ไทยต้องปรับกลยุทธ์การแข่งขันพัฒนาช่องทางการขายรุกตลาดแพลตฟอร์มต่างประเทศ โลจิสติกส์ตอบโจทย์การบริโภคข้าวให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เน้นทำการตลาดข้าวขาวพื้นนุ่ม พัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว เลี่ยงการแข่งขันเรื่องราคา เน้นไปแข่งขันด้านคุณภาพมากขึ้น”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 24 ก.ค. 2563

หวั่น “ข้าวขาวพื้นนุ่ม” ปลอมปนข้าวหอมมะลิ

WichaiSrinawakul

ศึกข้าวพื้นนุ่ม-หอมมะลิร้อน “โรงสีอีสาน” อัดเละร่างมาตรฐานข้าวใหม่ หวั่นแยกหน้าตาทางกายภาพไม่ออกลามปลอมปนหอมมะลิ จี้รัฐจัดโซนนิ่งก่อนทุบราคานาปี’64 ล่าสุดสัญญาณราคาดิ่ง 2 เดือน ข้าวเปลือกวูบ 5 พันบาท

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กลุ่มโรงสีอีสาน 160 โรง ขอแยกออกจากสมาคมโรงสีข้าวไทยมาตั้งสมาคมใหม่ในนามสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ฐานการผลิตข้าวหอมมะลิที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

แม้ว่าทั้งสองกลุ่มปฏิเสธว่าไม่ได้มีความขัดแย้งในการทำงานและการตั้งสมาคมรายภาคหรือชมรมโรงสีรายจังหวัดถือเป็นเรื่อง “ปกติ” แต่แท้จริงแล้วประเด็นแฝงที่ทำให้ 2 กลุ่มต้องแยกวง คือ ความไม่ลงรอยกันในเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวขาวชนิดใหม่ ที่เรียกว่า “ข้าวขาวพื้นนุ่ม” เพื่อมาเป็นเป็นไฟติ้งโปรดักต์ให้ประเทศไทยนำไปแข่งขันส่งออกในตลาดโลก

โดยรัฐมีโจทย์ คือ ต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีความนุ่ม และราคาต่ำระดับแข่งสู้เวียดนามได้ ประเด็นนี้ทำให้โรงสีหลายโรงมองว่า หากการจัดทำมาตรฐานไม่รอบคอบรัดกุมแยกชนิดข้าวไม่ได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ข้าวขาวพื้นนุ่มที่มีราคาต่ำไหลมาปลอมปนเป็นข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีราคาต่างกัน 3 เท่าในการประชุมใหญ่สามัญปี 2563 ของสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีการแสดงความเห็นในประเด็นนี้ค่อนข้างร้อนแรง

แหล่งข่าวจากอนุกรรมการยกร่างมาตรฐาข้าวขาวพื้นนุ่มกล่าวว่า กระบวนการยกร่างข้าวขาวพื้นนุ่มโดยคณะอนุกรรมการประกอบด้วย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าว และบริษัทผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ได้มีการยกร่างเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จเพราะยังติดเรื่องการกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบข้าวขาวพื้นนุ่ม

ซึ่งโดยปกติมี 2 เรื่อง ได้แก่ คุณสมบัติทางกายภาพและคุณสมบัติภายใน เช่น ค่าความเป็นแป้งในข้าวซึ่งวัดได้จากค่าอะมิโลส และค่าความบริสุทธิ์ (เพียวริตี้) ซึ่งลักษณะทางกายภาพข้าวขาวพื้นนุ่มแยกไม่ออกจากข้าวปทุมธานีและมะลิ จำเป็นต้องนำไปตรวจสอบค่าอะมิโลสและค่าความบริสุทธิ์ ก็ถือว่าห่างแบบ “เฉียดฉิว”

 

วิธีการตรวจสอบที่ดีที่สุด คือ ตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอจึงจะแยกได้ชัดกว่าการต้มและบดกระจก ซึ่งในตอนนี้มีห้องปฏิบัติการแห่งเดียว และต้องใช้เวลาตรวจสอบนาน มีค่าใช้จ่าย ซึ่งแม้ว่าจะมีดีมานด์ตลาดฟิลิปปินส์รองรับแต่ขนาดตลาดยังน้อยจะคุ้มค่าในการปลูกของชาวนาหรือไม่ยังเป็นคำถามอยู่ ซึ่งในองค์คณะก็ต้องยึดหลักการ หากจะกำหนดมาตรฐานต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดี เพื่อป้องกันการปลอมปนกับข้าวคุณภาพดีที่ไทยมีมาตรฐานแต่เดิม อันดับ 1 คือ ข้าวหอมมะลิ และอันดับ 2 ข้าวหอมไทย (ข้าวปทุมธานี)

สำหรับข้าวขาวพื้นนุ่มจะมี 4 สายพันธุ์ คือ กข.43 ซึ่งเคยทำตลาดไปแล้วเล็กน้อย ข้าว กข.77 และ กข.79 ที่อยู่ระหว่างการทดลองผลผลิตขั้นสุดท้าย คาดว่าจะทดลองออกสู่ตลาดในปลายปีนี้ และข้าว กข.87 ที่อยู่ระหว่างการรับรองพันธุ์โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า จากนี้จะรวบรวมความเห็นของสมาชิกและเตรียมจะขอเข้าพบหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำมาตรฐานข้าวในเดือนตุลาคมนี้ โดยสมาชิกส่วนหนึ่งมองว่าไทยควรรักษาเอกลักษณ์ข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นข้าวคุณภาพดีที่ปลูกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไว้เป็นข้าวพรีเมี่ยมที่มีระดับราคาส่งออกสูง เพราะที่ผ่านมาผู้ซื้อยอมรับราคาระดับนี้ได้

นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า แม้ว่าข้าวหอมมะลิจะมีราคาสูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา แต่เห็นได้ชัดเจนว่าตัวเลขการส่งออกนั้นไม่ลดลง แต่หากจำเป็นต้องปลูกข้าวขาวพื้นนุ่ม รัฐจำเป็นต้องวางมาตรการป้องกันปัญหาการปลอมปน เพราะแน่นอนว่าของราคาต่ำก็จะไหลไปเป็นของราคาสูง

“เท่าที่ทราบข้าวขาวพื้นนุ่มลอตแรกจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ช่วงเดียวกับผลผลิตนาปี 2563/2564 ซึ่งสถานการณ์ราคาข้าวขณะนี้ปรับตัวลดลงผิดปกติ โดยข้าวเปลือกราคาตันละ 13,000 บาท ราคาข้าวอ่อนตัวลดลงตันละ 5,000 บาทจากเมื่อช่วง 2-3 เดือนก่อนที่เคยมีราคาตันละ 17,000-18,000 บาท ทั้งที่ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดู ซึ่งเราได้ตรวจสอบไปว่าเป็นเพราะโรงสีมีสต๊อกเยอะหรือไม่เลยทำให้ราคาข้าวลดลง แต่พบว่าปริมาณสต๊อกข้าวของโรงสีมีเพียง 2.5 แสนตันเท่านั้น ลดลงจากปกติที่ช่วงนี้ต้องมีมากกว่า 5 แสนตัน ซึ่งเมื่อราคาลดลงโรงสีต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กดราคารับซื้อแน่นอน แต่เราไม่ได้เป็นคนทำ ต้องไปชี้แจงเรื่องนี้”

“5 สมาคมที่เกี่ยวข้อง คือ โรงสี เมล็ดพันธุ์ ชาวนา ต้องมาคุยกันให้ตกผลึกว่าจะไปทางไหน ราคาตอนนี้ลดลงไม่มีเหตุผล อีกทั้งบายโปรดักต์พวกยี่จ้อ-ซาห่อจากข้าวหอมมะลิยังขายไม่ได้ ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลเพราะสถานการณ์ซัพพลายยังไม่ออก สต๊อกไม่มาก ราคาต้องพุ่งกว่านี้ แต่เราโชคร้ายมาเจอโควิดซ้ำเติมอีกทำให้ต่างชาติที่เดินทางมากินข้าวเราหายไป 20 ล้านคน กิน 1 ล้านกระสอบหายไป ซึ่งหากผลผลิตนาปี 2563/2564 ออกปลายปีกังวลว่ามันจะลงหนักกว่านี้อีก”

นายสมศักดิ์ ตังพิทักษ์กุล ประธานชมรมโรงสี จ.ขอนแก่นกล่าวว่า ทุกคนกังวลปัญหาการคุกคามของข้าวขาวพื้นนุ่ม สมาคมใหญ่อาจจะเสียงไม่ดังพอ ซึ่งเราต้องบอกว่าไม่ได้คัดค้านข้าวนั้นแต่รัฐบาลต้องชัดเจน ปัจจุบันเรามีมาตรฐานข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมไทย และข้าวขาว ถ้ามีมาตรฐานข้าวขาวพื้นนุ่มมาแทรกแต่ไม่ได้มีความชัดเจนจะมั่วกันไปหมด เพราะราคาต่างกัน ข้าวหอมไทย 102-125 เหรียญสหรัฐ ข้าวหอมมะลิ 250 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อมีผู้ซื้อโดยเฉพาะในต่างประเทศซื้อไปชิมแล้วเข้าใจผิดมองว่าเป็นข้าวหอมมะลิของไทย ส่วนหนึ่งอาจจะคุ้นเคยแล้วจะทำอย่างไร ดังนั้น ต้องมีคำแบ่งที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ข้าวหอมไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า “จัสมิน” ต้องเลิกใช้เลย เพราะหากดูตามคำแปลแล้วจะทำให้เข้าใจผิดหรือพันธุ์ข้าวอะไรที่คล้าย

แหล่งข่าวโรงสีอีกรายให้ความเห็นว่า ตอนนี้ข้าวพันธุ์ กข.79 มันทับซ้อนกับข้าวหอมมะลิ แยกไม่ออก ดูกายภาพคล้ายกันมาก ถ้าราคาดีมีปลอมปนแน่ ข้าวเปลือกเจ้าจากขาวพื้นนุ่ม ตันละ 8,200-8,300 บาท ข้าวหอมมะลิ ตันละ 13,000 บาท

ขณะที่ตัวแทนโรงสีจาก จ.สุรินทร์ให้ความเห็นว่า ข้าวพื้นนุ่มเป็นปัญหากับเรา แต่รัฐก็ต้องการข้าวไปส่งออก พยายามส่งเสริมเพราะมีตลาดฟิลิปปินส์รองรับ ข้าวขาวพื้นนุ่มราคาถูก หากสนับสนุนจะทำให้ไทยมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายมากขึ้น ฉะนั้น เราต้องแบ่งโซนเช่นว่า อีสานทำข้าวหอมมะลิพรีเมี่ยม ไม่ทิ้งเอกลักษณ์เรา

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 27 ก.ย. 2563

ติดตามเราได้ที่ facebook youtube

ผู้เข้าชม

9639808
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
ทั้งหมด
4746
10947
37986
208147
9639808

Your IP: 216.73.216.124
2025-06-25 11:18