ปุ๋ยอินทรีย์ ทางเลือกเกษตรกรยุคปุ๋ยเคมีแพง

Po Thueng

สถานการณ์ราคาปุ๋ยเคมีแพงขึ้นกว่า 1 เท่าตัวในรอบ 1 ปีที่่ผ่านมา  ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะต้นทุนปุ๋ยเคมีคิดเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 25-30 ของต้นทุนการปลูกพืชทั้งหมด หรือมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1,500-2,000 บาทต่อไร่ ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรไม่ได้ขยับสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพงจึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวนาและเกษตรกรทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามประเทศไทยพึ่งพิงการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศเป็นหลัก ในปี 2564 ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมี (N-P-K) มีมูลค่ามากถึง 70,102 ล้านบาท ดังนั้นการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร อาทิเช่น การอุดหนุนราคาปุ๋ยเคมีที่เพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำได้เพียงระยะสั้นและมีข้อจำกัด  ทั้งนี้ยังมีทางเลือกการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับตัวหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อทดแทนปุ๋ยเคมี ซึ่งควรดำเนินการส่งเสริมควบคู่กับการให้ความรู้แนวทางการจัดการการเพาะปลูกที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเกษตรกร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและมีรายได้เพิ่มขึ้น

แนวทางการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมีอย่างเหมาะสม

ก่อนเริ่มต้นใส่ปุ๋ยหรือนำวิธีการปรับปรุงบำรุงดินมาใช้ในแปลง อันดับแรกเกษตรกรต้องรู้จักสภาพดินของตนเอง โดยนำตัวอย่างดินในแปลงของตนเองมาตรวจวิเคราะห์ ขั้นตอนคือ ขุดดินแต่ละจุด ลึก 1 หน้าจอบ จำนวน 9 จุด กระจายให้ทั่วทั้งแปลง จากนั้นนำดินทั้ง 9 จุด มาผสมกันแล้วตากให้แห้งในที่ร่มเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และร่อนจนละเอียด แบ่งดินมาเพียงครึ่งกิโลกรัมเพื่อมาใช้สำหรับการตรวจ จากนั้นนำตัวอย่างดินที่เก็บมาเรียบร้อยแล้วส่งไปวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขตใกล้บ้าน ซึ่งในรายงานผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดิน จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใส่ปุ๋ยและการปรับปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูกอยู่ด้วย

จากนั้นจะนำไปสู่ขั้นตอนการปรับปรุงบำรุงดิน ซึ่งการใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหนึ่งในขั้นตอนการปรับปรุงบำรุงดิน โดยเริ่มจากการมีองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของปุ๋ยแต่ละชนิดว่ามีแร่ธาตุอย่างไร ด้วยการประยุกต์จากวัสดุเหลือใช้ในแปลง ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยมูลสัตว์ เศษอาหาร เศษใบไม้ ขี้เถ้า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ 3 ชนิดหลัก ดังนี้ 1) P คือ ฟอสฟอรัส พบมากในปุ๋ยมูลหมู วัว แพะ เหมาะกับพืชกินผล ให้ดอก 2) N คือ ไนโตรเจน พบในปุ๋ยมูลไก่ เป็ด ใช้เพื่อการบำรุงกิ่ง ใบ ราก เหมาะกับพืชกินใบ 3) K คือ โพแทสเซียม พบมากในขี้เถ้าแกลบ (ที่มา : รายงานการฝึกอบรมเรื่องแนวคิดและเทคนิคเกษตรทางเลือกกับการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร โดย อ.เกศศิรินทร์  แสงมณี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร )

เราสามารถได้ธาตุอาหารสำหรับพืชจากปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์แต่ละชนิดมีธาตุอาหารหลักที่จำเป็นต่อพืช คำแนะนำของกรมพัฒนาที่ดิน มีดังนี้ ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก) อัตรา 2-3 ตันต่อไร่/ปี และไถกลบปุ๋ยพืชสดร่วมด้วย ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์จะช่วยเสริมสร้างอินทรียวัตถุให้ดิน ทั้งยังช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและชีวภาพ ทำให้โครงสร้างดินดี เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยของพืช และการไถกลบพืชปุ๋ยสด ทำโดยก่อนปลูกพืช หว่านพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ หว่านปอเทือง, โสนแอฟริกัน 4-6 กิโลกรัมต่อไร่ หรือถั่วพร้า 4-10 กิโลกรัมต่อไร่ หรือถั่วพุ่ม 6-8 กิโลกรัมต่อไร่ (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง) แล้วไถกลบระยะออกดอก ปล่อยทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ (ประมาณ 15-20 วัน) ก่อนปลูกพืช ซึ่งการไถกลบพืชปุ๋ยสดเป็นการเพิ่มปริมาณธาตุอาหารพืชและอินทรียวัตถุแก่ดินได้  

สำหรับแนวทางการฟื้นบำรุงดินหรือปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยธรรมชาติ เช่น ถั่วเขียว ปอเทือง แหนแดง 1  กิโลกรัมต่อแปลง 1 ตารางเมตร จะช่วยลดความเป็นกรดและดินเปรี้ยวได้ และหากผสมแหนแดง 1 กิโลกรัมต่อมูลวัว ครึ่งกิโลกรัม ต่อ  1 ตารางเมตร จะช่วยตรึงไนโตรเจนในดินทำให้ปลูกผักได้ดี การใช้แหนแดงในการตรึงดินเป็นเครื่องชี้วัดหนึ่งที่พิสูจน์ได้ว่าดินในพื้นที่ดังกล่าวมีความปลอดภัย เพราะแหนแดงจะไม่เติบโตในพื้นที่ที่เคยใช้ยาฆ่าหญ้าหรือมีสารเคมีค้างอยู่ แหนแดงยังมีคุณสมบัติอีกมากมายและสามารถใช้ควบคุมหญ้าแทนพาราควอตได้อีกด้วย

นอกจากการปรับปรุงดินให้เหมาะกับพืชที่ปลูกแล้ว การดูแลแปลงก็เป็นส่วนสำคัญ โดยแนะนำให้เกษตรกรใช้เทคนิคการห่มดินหรือการคลุมดินด้วยฟาง หญ้า หรือแฝก ที่เหลือจากการทำนา เพื่อให้ดินรักษาความชื้นและเป็นการหมักดินได้ดี ใช้เวลาอย่างน้อย 15 วันในการเตรียมแปลงเพื่อให้กระบวนการหมักสมบูรณ์ก่อนเริ่มเพาะปลูกแต่ละรอบ

จะเห็นได้ว่าแนวทางการปรับตัวของเกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และการปรับปรุงบำรุงดินทดแทน เป็นทางเลือกในการช่วยลดต้นทุนในการผลิตในภาวะราคาปุ๋ยเคมีแพงได้อย่างมาก ซึ่งวิธีการนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังส่งผลให้เกิดความยั่งยืนทั้งต่อธรรมชาติ  และสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยแรงจูงใจสำคัญของเกษตรกรเพื่อปรับตัวรับมือกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น คือ รายได้ที่เพิ่มขึ้น 

ดังนั้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่ได้ทำเอง จะยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะราคาปุ๋ยอินทรีย์อาจแพงกว่าปุ๋ยเคมี นอกจากนี้เกษตรกรต้องรู้จักบริหารจัดการการเพาะปลูกโดยลดต้นทุนการผลิตในส่วนที่ทำได้เองควบคู่ไปด้วย เช่น การเตรียมเมล็ดพันธุ์ การเตรียมแปลง การปรับปรุงบำรุงดิน ค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์รายได้ที่เพิ่มขึ้น ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับต้นทุนด้านแรงงานและการใช้เวลาของเกษตรกรจากแนวทางการปรับตัวครั้งนี้

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 24 พ.ค. 2565

ผู้เขียน : อารีวรรณ คูสันเทียะ

ภาวะสงคราม ปุ๋ย-น้ำมันแพง วิกฤตแห่งโอกาสที่ “ชาวนา” ต้องปรับตัว

 BoonchuManeewong

จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่นำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นผลกระทบต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ราคาน้ำมันดิบและราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อราคาปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักของเกษตรกรมีราคาสูงขึ้น เมื่อดูราคาเปรียบเทียบปุ๋ยเคมีในปี 2565 ที่ปรับราคาสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีราคาอยู่ที่กระสอบละ 700 บาท แต่ในปี 2565 มีราคาอยู่ที่กระสอบละ 1,300-1,600 บาท และราคาน้ำมันที่ในปีที่แล้วราคา 23-35 บาทต่อลิตร แต่ในปี 2565 ราคาอยู่ที่ 35-45 บาทต่อลิตร จากราคาปุ๋ยและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ส่งผลกระทบทำให้ชาวนาและเกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูง ชาวนาบางพื้นที่ต้องหยุดทำนาชั่วคราวเนื่องจากแบกรับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ไหว ชาวนาบางรายต้องเสียค่าเช่านาเนื่องจากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และชาวนาหลายคนมีภาระหนี้สินจำนวนมาก และอยู่ในวงจรเงินเชื่อปัจจัยการผลิตและการหมุนหนี้ ส่งผลให้การปรับตัวยาก

ความท้าทายของชาวนาและเกษตรกรที่มีภาระหนี้สินในการปรับตัวลดต้นทุนการผลิต ซึ่งไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนจากปุ๋ยเคมีราคาแพงมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น แต่ต้องปรับระบบการผลิตอินทรีย์ สู่การผลิตแบบพึ่งพาตนเอง ทั้งปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช  ซึ่งการปรับเปลี่ยนต้องใช้เวลา ผลผลิตข้าวอาจลดลง นั่นอาจหมายถึงรายได้ที่ลดลง โดยมีตัวอย่างความพยายามของกลุ่มชาวนาที่มีหนี้สิน และปรับรูปแบบการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างรายได้จากการขายข้าวด้วยตนเอง กลุ่มพันธมิตรการเกษตรบ้านนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีประธานกลุ่ม คุณบุญชู มณีวงษ์ ได้บอกเล่าว่าทางกลุ่มได้ปลูกข้าวแบบลดต้นทุนภายหลังประสบปัญหาปุ๋ยแพง น้ำมันแพง ดังนี้

ต้นทุนการทำนาเปรียบเทียบรอบก่อนและหลัง ปี 2564 และ ปี 2565 ดังนี้ 1. ค่าไถดะ ไถแปร ลูบเทือก ราคาค่าจ้างอยู่ที่เดิมไร่ละ 500 บาท ปัจจุบันไร่ละ 600 บาท 2. เมล็ดพันธุ์ข้าว 1 ไร่ใช้เมล็ดพันธุ์หอมมะลิ 25 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็น 800 บาทต่อไร่ ราคาเท่าเดิม 3. ค่าจ้างหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวใช้แรงงานตนเอง 4. ค่าปุ๋ย 1 ฤดูให้ปุ๋ย 3 รอบ ให้อย่างต่ำครั้งละ 25 กิโลกรัม   (ครึ่งกระสอบ) ต่อไร่ โดยราคาปุ๋ยชีวภาพกึ่งเคมีเดิมอยู่ที่ 700-800 บาทต่อกระสอบ ปัจจุบันอยู่ที่ 1,200-1,300 บาทต่อกระสอบ คิดเป็นต้นทุนต่อฤดูกาลอยู่ที่ 1,200-1,300 บาทต่อไร่ แต่หากดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นก็อาจปรับมาใช้ปุ๋ยชีวภาพเต็มรูปแบบราคาจะอยู่ที่ 500 บาทต่อกระสอบ 5. ค่าจ้างหว่านปุ๋ย ใช้เรงงานตนเอง  6. ค่าฮอร์โมนเร่งใบ ขวดละ 400-600 ต่อไร่อยู่ที่ 50-100 บาท 7. ค่ารถเกี่ยวข้าว 500 บาทต่อไร่ 8. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเดิมอยู่ที่ 1,300 บาทต่อไร่ ปัจจุบันอยู่ที่ 1,785 บาทต่อไร่ โดยคำนวณต้นทุนการทำนาทั้งหมดจะอยู่ที่ 5,000 บาทต่อไร่ และผลผลิตข้าวที่ได้ต่อไร่จะได้ 600-800 กิโลกรัม ซึ่งหากทำนาปกติแบบไม่ลดต้นทุนก็มีจะต้นทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 บาทต่อไร่ และหากมีค่าเช่านาจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นไปอีก การปลูกข้าวแบบลดต้นทุนถือว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 1,000 บาทต่อไร่เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ด้วยวิกฤตต้นทุนการทำนาที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2565 บุญชูและสมาชิกกลุ่มฯ  ได้ลดการทำนาลงจากการทำนา 3 ครั้งต่อปี มาเป็นทำนา 2 ครั้งต่อปีแทน โดยถือเป็นการพักหน้าดินและระหว่างที่พักก็หมักปุ๋ยหมักดิน ให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ไว้เพื่อลดต้นทุนค่าปุ๋ยในรอบการผลิตครั้งต่อไป

บุญชูและสมาชิกกลุ่มฯ จะเน้นเรื่องการพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุดในการผลิตข้าว เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตที่มีราคาสูงขึ้นทุกวัน นอกจากการทำข้าวแบบลดต้นทุนแล้วทางกลุ่มยังนำข้าวที่ได้มาสีเป็นข้าวสารแพ็กใส่ถุงขายเองอีกด้วย รูปแบบการขายข้าวขึ้นอยู่กับลูกค้า หากเป็นลูกค้าชาวบ้านจะขายบรรจุกระสอบ กิโลกรัมละ 30 บาท หากซื้อถุง 1 กิโลกรัม ราคา 35 บาท และถุงแพ็กแบบสุญญากาศ ก็จะขายที่กิโลกรัมละ 50-55 บาท

บุญชูกล่าวว่า “ทางกลุ่มยังคงขายข้าวราคานี้ แม้จะเจอผลกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะหากปรับราคาให้สูงขึ้นตามท้องตลาดก็กลัวว่าชาวบ้านและผู้บริโภคที่ซื้อข้าวจากทางกลุ่มจะยิ่งลำบากในช่วงที่สินค้าต่างๆ พากันขึ้นราคากัน ข้อดีของการทำข้าวขายเองคือเรามีข้าวเก็บไว้กินเองด้วย ที่เหลือก็แบ่งขาย ถ้าขายให้โรงสีเป็นข้าวเปลือกจะได้ 6,000-6,500 บาทต่อเกวียน แต่ขายเองเป็นข้าวสาร 13,000-15,000 บาทต่อเกวียน ข้าวที่ทำก็ดีต่อสุขภาพเพราะทำข้าวแบบปลอดสาร จากเดิมด้วยความไม่รู้ อยากจะได้ข้าวปริมาณมากๆ ก็ทำแบบใส่ปุ๋ยเคมีใส่สารเคมี ผลสุดท้ายเราก็ต้องใช้เงินนั้นมารักษาตัวเอง ตอนนี้ชาวนาที่กลุ่มเราปลูกข้าวกินกันเอง เราไม่ค่อยเจ็บป่วย แข็งแรง ทำงานได้ปกติ ดีกว่าเราไปกินข้าวตามท้องตลาดที่เราไม่รู้ที่มาและขั้นตอนการผลิตว่าเป็นอย่างไร”

นอกเหนือจากการทำนา ทางกลุ่มยังให้ความสำคัญกับการสร้างช่องทางรายได้หลากหลายช่องทาง ทำอาชีพเสริมรายได้ ไม่ทำนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันทางกลุ่มมีผลิตภัณฑ์ ขนมปังอบกรอบ มะม่วงแช่อิ่ม อัญชันและสมุนไพรอบแห้ง เพื่อเป็นรายได้เสริม รวมถึงการปลูกผักสวนครัวไว้กินเองกันในครอบครัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

สุดท้ายคุณบุญชู มณีวงษ์ ฝากไว้ว่าชาวนายุคปัจจุบันที่เผชิญภาวะวิกฤตรอบด้าน ทั้งภาวะต้นทุนและปัจจัยการผลิตสูง กำหนดราคาเองไม่ได้ ภาวะหนี้สูง นอกเหนือจากการเรียกร้องเชิงระบบและการปรับโครงสร้างให้เกิดความเป็นธรรม ชาวนาต้องปรับตัวเองด้วยจึงจะอยู่รอด ทั้งปรับตัวด้านการผลิต การตลาด การบริหารการเงินและพึ่งพาตนเองด้านอาหาร จึงจะเกิดความยั่งยืนและมั่นคงในการทำนา ทั้งนี้ข้าวที่ปลูกเรามั่นใจได้ว่าดีต่อสุขภาพทั้งคนปลูกและคนกิน จึงจะเกิดความอยู่รอดร่วมกัน

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 21 มิ.ย. 2565

ผู้เขียน : สุชาดา ทรงบัญฑิต

เกษตรปลอดเคมี ปลอดหนี้ พิสูจน์แล้วได้ผลจริง

Somjai

วิถีเกษตรกระแสหลักที่ปลูกในเชิงพาณิชย์  ต้องอาศัยปัจจัยการผลิตจากภายนอกทั้งหมด ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช แรงงาน ค่าเช่าที่ดิน ฯลฯ และด้วยระบบการผลิตแบบเคมี ยิ่งทำให้ไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตได้ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลผลไม้ มีผลผลิตออกมาจำนวนมาก ราคาถูกแต่คนซื้อน้อย จนเกิดปรากฏการณ์เกษตรกรเจ้าของสวนนำของจำนวนมากออกมาเททิ้ง เป็นแรงผลักให้ผู้ประกอบอาชีพนี้  เข้าสู่วงจรยิ่งทำยิ่งจนแถมยังติดหนี้สิน เพราะต้นทุนการผลิตพุ่งไม่หยุด ต้องกู้เงินร้านปุ๋ยร้านยา ขายผลผลิตได้ก็ต้องเอาเงินไปใช้หนี้ก่อน เพื่อได้มีเครดิตกู้ใหม่รอบต่อไปกลายเป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น

ในกระแสธารการผลิตพืชเชิงเดี่ยวที่ถาโถมเข้ามานี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่เกษตรกรไม่สามารถควบคุมได้ (ต้องใช้เงินซื้อในราคาสูงขึ้นทุกปี) แต่หากเราตั้งหลัก ยึดแนวทางการพึ่งพาตนเอง แสวงหาต้นทุน โอกาสที่มีอยู่เดิม เช่นเดียวกับแนวทางดำเนินงานพัฒนาเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน ที่เป็นระบบการผลิตเพื่อการพึ่งตนเอง ตามวิถีธรรมชาติไม่ใช้สารเคมีทุกชนิด ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ทางมูลนิธิชีวิตไทสนับสนุนส่งเสริมชาวนาและเกษตรกร โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายเกษตรกรอินทรีย์ หน่ายงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา สนับสนุนความรู้ เทคนิคด้านการผลิตและการสร้างตลาดอินทรีย์ในระดับต่าง ๆ โดยมุ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มชาวนาและเกษตรกรที่มีความพร้อมเป็นผู้นำต้นแบบในการดำเนินการเพื่อให้มีอาหารปลอดภัย ได้มาตรฐาน ลดต้นทุนทำการเกษตร ช่วยเรื่องสุขภาพของคนในครัวเรือน ผลผลิตทางการเกษตรปลอดภัยไร้สารเคมี สามารถเพิ่มมูลค่า มีช่องทางจำหน่ายชัดเจน

สมใจ ปลีอ่อน หรือใจ ชาวนาบ้านท่าสะตือ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ครอบครัวประกอบอาชีพทำนาทั้งนาเช่าและนาตนเอง ทำนาประมาณ 20 ไร่ เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นนาลุ่ม ทำให้การทำนาของสมใจไม่ค่อยได้ผลผลิตเท่าที่ควร และการทำนาก็ค่อนข้างยากลำบาก ต้องทำนาในช่วงเวลาที่พร้อมกันกับนาแปลงอื่นๆ ถ้าทำนาล่าช้ากว่านาแปลงอื่นๆ ก็จะประสบกับปัญหาน้ำท่วมแปลงนา ปี 2564 สมใจเหลือพื้นที่นำนา 17 ไร่ เนื่องจากพื้นที่นา 3 ไร่ถูกน้ำท่วม ไม่สามารถทำนาได้ “ไม่ทันน้ำท่วม”   เนื่องจากอาชีพทำนามีรายได้ไม่แน่นอน รายรับน้อยกว่ารายจ่าย จึงทำให้สมใจมีภาระหนี้สินสะสม 4 แสนกว่าบาท และเป็นการแก้หนี้ด้วยการกู้เพิ่ม ในปี 2563 สมใจจึงตัดสินใจประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้หลายทางทั้งในและนอกภาคเกษตร ได้แก่ นวดแผนไทย บริบาลผู้ป่วย เลี้ยงไก่ชนเพื่อขายไก่เนื้อ และปลูกผักสวนครัวที่ริมแม่น้ำน้อย

การปลูกผักสวนครัวที่ริมแม่น้ำน้อยเป็นอาชีพ เป็นพื้นที่ปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ  มีขนาดพื้นที่ประมาณ 1 งาน มีช่วงเวลาในการปลูกผักประมาณ 6 เดือน คือ เดือนธันวาคมถึงเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำหลากท่วมในพื้นที่ ผักที่ปลูกจะเน้นนำมาบริโภคเอง เพื่อลดรายจ่ายด้านอาหารของครอบครัว และบางส่วนขายเพื่อนบ้านในชุมชน แปลงผักของสมใจปลูกผักหลายชนิด  เช่น มะเขือ มะละกอ บวบ กะเพรา กวางตุ้ง ผักบุ้ง พริก ถั่ว แครอท  ฯลฯ สภาพดินริมฝั่งแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้แปลงผักได้ผลผลิตดี  และเสริมด้วยการทำปุ๋ยอินทรีย์แบบกลับกองสำหรับใช้เองในแปลง เน้นวัสดุและมูลสัตว์พื้นที่ใกล้เคียง เช่น มูลแพะ มูลวัว ฟางข้าว เศษหญ้าสด และ น้ำหมักสับปะรด 

สมใจบอกว่า “พี่ทำแบบง่าย ๆ โดยนำวัสดุฟางข้าว เศษหญ้าสด วางชั้นล่างสุด แล้วโรยด้วยมูลสัตว์ให้ทั่วกอง วางแบบนี้เป็นชั้น ๆ จนวัสดุหมด และราดให้ทั่วกองด้วยน้ำหมักสับปะรด ช่วยย่อยสลาย อาทิตย์ละครั้งพร้อมทั้งกลับกองปุ๋ย ใช้เวลาหมักนานประมาณ 1 เดือน ปุ๋ยจะร่วนซุยมีสีดำ สามารถนำมาใช้ผสมดินปลูก ดินเพาะได้"   หรือถ้าท่านสามารถใช้วิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ แบบไม่พลิกกลับกองของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ 

สามารถศึกษารายละเอียดการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปริมาณมากแบบไม่พลิกกลับกองตามลิงค์นี้

OrganicFarmSomjai

แปลงผักและผลผลิต แครอทปลอดสารพิษริมแม่น้ำน้อยของพี่ใจ

นอกจากนี้ สมใจได้เลี้ยงไส้เดือนดินด้วยตนเอง เพื่อผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนมาผสมดินปลูกผัก พื้นที่แปลงผักขนาดเล็ก ใช้สัดส่วนปุ๋ยมูลไส้เดือนครึ่งกิโลกรัม  สัดส่วนมูลไส้เดือน 1 ส่วน เศษวัสดุที่จะใช้ปลูก 4 ส่วน และได้นำมูลไส้เดือนส่วนที่เหลือจำหน่ายเป็นรายได้เสริมกับผู้สนใจในชุมชน

เมื่อต้นเดือนกันยายน 2563 สมใจได้เข้าอบรมการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อเรียนรู้การเลี้ยงไส้เดือนดิน ให้ได้ปุ๋ยนำไปใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์ การเลี้ยงไส้เดือนดิน พันธุ์ที่นิยมเลี้ยง คือ พันธุ์ AF เป็นไส้เดือนดินที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เจริญเติบโตและแพร่พันธุ์รวดเร็วมาก มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน จึงชอบอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงสำหรับวิธีการเลี้ยงไส้เดือนเริ่มจาก

1. นำปุ๋ยคอกแช่น้ำ 2-3 วัน และถ่ายน้ำออก (ทำสองครั้งรวม 6-7 วัน) เพื่อให้ปุ๋ยคอกนิ่มและเย็นพร้อมเป็นอาหาร สิ่งนี้เรียกว่า “เบดดิ้ง”

2. ปล่อยไส้เดือนลงในภาชนะเลี้ยง (3 ขีดต่อกะละมัง หรือ 1 กิโลกรัมต่อรองซีเมนต์)

3. พรมน้ำแบบละออง วันละครั้งหรือมากกว่าเมื่ออากาศร้อน เพื่อให้เบดดิ้งมีความชื้นและเย็น

4. นำเศษผักหรือผลไม้ใส่ลงภาชนะเลี้ยงเพื่อเสริมธาตุอาหาร และ

5. ปาดมูลบริเวณผิวภาชนะ หลังเริ่มเลี้ยงไส้เดือน 5-7 วัน และทำการร่อนมูลไส้เดือนเพื่อคัดแยกมูลกับสิ่งเจือปนอื่น

CompostTraining01

อบรมวิธีการเลี้ยงไส้เดือนดิน

CompostTraining02

                                                   เตรียมแปลงปลูกผัก                                                     มูลใส้เดือนพร้อมใช้จากพี่ใจ

ด้วยแนวทางการปรับระบบการเกษตรจากเคมีสู่อินทรีย์ และการพัฒนาอาชีพเสริมรายได้อย่างจริงจัง (ไม่ทำนาอย่างเดียว ที่มีความเสี่ยงสูง) ส่งผลให้สมใจและชาวนาตำบลบางขุดหลายราย สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือน ลดต้นทุนลงได้ (โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีซึ่งตอนนี้ขยับราคาสูงขึ้นอีกเท่าตัว) หลายคนมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละประมาณ 3,000 บาท และกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมโครงการ มีการออมเงินเฉลี่ยประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน แม้ยังไม่สามารถนำไปสู่การปลดเปลื้องหนี้สินได้อย่างเป็นรูปธรรมนัก เนื่องจากภาระหนี้สินมีอยู่มาก ประกอบกับรายได้ที่ลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ แต่หลายคนก็สามารถนำเงินที่ได้จากการขายผลผลิตไปผ่อนและลดภาระหนี้ได้บางส่วนแล้ว

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 26 เม.ย. 2565

ผู้เขียน : สมจิต คงทน

ติดตามเราได้ที่ facebook youtube

ผู้เข้าชม

9456589
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
ทั้งหมด
376
4495
24928
24928
9456589

Your IP: 216.73.216.41
2025-06-06 03:18