เป็นที่ติดตามกันมานานว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำ ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย จะจบลงอย่างไร หลังจากเหตุการณ์รุนแรงในคืน วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้ทำการขนแร่ในยามวิกาล โดยมีกองกำลังติดอาวุธทำร้ายชาวบ้านที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ จนเป็นเหตุให้หมู่บ้านต้องเรียกให้ทหารเข้ามาคุ้มครองความปลอดภัย
จากนั้นทหารได้แสดงบทบาทเป็นผู้แก้ไขปัญหา โดยมีการตั้งคณะกรรมการฯ ๑ ชุด และอนุกรรมการฯ ๓ ชุด เพื่อแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ซึ่งต่อมาได้ดำเนินการไปถึงขั้นการเปิดเวทีเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันระหว่าง บริษัททุ่งคำ กับชาวบ้าน
แต่การดำเนินการใดๆ ที่เกิดขึ้นจากคณะกรรมการฯ ดังกล่าวไม่ได้รับการยอมรับจาก “กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด” ด้วยเหตุผลว่า คณะกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ ทั้ง ๔ ชุด เป็นหน่วยงานรัฐที่เป็นคู่กรณีกับชาวบ้านมาตลอด มีการดำเนินงานที่ขาดการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริง และไม่มีความโปร่งใสในหลายกรณี ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปัญหาในพื้นที่สะสมมายาวนานและทวีความรุนแรงขึ้น จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์ขนแร่ในคืนวันที่ ๑๕ ที่ทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บหลายราย
วันที่ ๑๒ ส.ค. ๒๕๕๗ พ.ท.วรวุฒิ สำราญ เสนาธิการหน่วยเฉพาะกิจเขาหลวง ส่งจดหมายเรียก นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ นายสมัย ภักดิ์มี แกนนำกลุ่มรักษ์บ้านเกิดให้ไปรายงานตัวที่อำเภอวังสะพุง เพื่อรับทราบแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ระหว่าง บริษัททุ่งคำ และชาวบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มฅนรักษ์บ้าน ไม่ยอมรับและไม่เข้าร่วมในกระบวนการเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำที่ทางทหารและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้มีการดำเนินงานมาโดยตลอด
ในวันเดียวกันนั้น ทหารได้จัดประชุมผู้ใหญ่บ้าน ๖ หมู่บ้าน เพื่อวางกรอบแนวทาง ๓ ข้อ ที่เป็นผลสรุปที่จัดทำขึ้นในวันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๕๗ จากการเจรจาระหว่าง นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของบริษัททุ่งคำฯ กับ ผู้ใหญ่บ้าน ๖ หมู่บ้าน สมาชิกสภา อบต.เขาหลวง ในนามตัวแทนชาวบ้าน ที่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านนำไปทำประชาคม ในวันที่ ๑๖ ส.ค. ๒๕๕๗ อีกครั้ง
โดยมติจากการประชาคมในครั้งนี้ จะเป็นสรุปข้อตกลงของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้านที่จะเสนอต่อคณะกรรมการฯ ๔ ชุด ในวันที่ ๑๗ ส.ค. ๒๕๕๗ ซึ่งทหารได้นัดให้ชาวบ้านเจรจากับ บริษัททุ่งคำฯ พร้อมด้วยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเจรจาข้อตกลงร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย และหากไม่สามารถตกลงกันได้ ทหารได้บอกกับชาวบ้านว่าจะใช้กฎอัยการศึกเพื่อแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ แนวทางทั้ง ๓ ข้อดังกล่าว ได้มาปรากฏอีกครั้งในหนังสือ ลงวันที่ ๑๔ ส.ค. ๒๕๕๗ ที่นายอำเภอวังสะพุงแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้าน ๖ หมู่บ้าน จัดประชาคมหมู่บ้าน พร้อมทั้งได้ส่งตัวอย่างรูปแบบการประชุมประชาคม โดยระบุเนื้อหาที่จะใช้ในการประชาคม ได้แก่
๑. การพิจารณาเรื่องการปิดเหมืองทองคำ ปัจจุบันเหมืองทองคำได้ปิดกิจการโดยพฤตินัยอยู่แล้ว เนื่องจากเงื่อนไขยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ที่ดินป่าไม้และพื้นที่ ส.ป.ก.ต่อไป
ข้อตกลง ต่อไปในการประกอบกิจการใดๆ ของเหมืองทองคำจะต้องได้รับความยินยอมจากชาวบ้านก่อน โดยมีการจัดทำบันทึกข้อตกลง ระหว่างราษฎรกับบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ว่า บริษัทฯ จะไม่ดำเนินการใดๆ หากไม่ได้รับการยินยอมจากราษฎรส่วนใหญ่ในพื้นที่ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่างๆ เป็นพยาน
๒. การขนแร่ออกจากพื้นที่เหมืองทองคำ
ข้อตกลง ให้มีการพิจารณาให้ได้ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างเหมืองทองกับชาวบ้าน โดยในการจะขนแร่ออก ให้บริษัทฯ เสนอส่วนแบ่งจากการขายแร่ที่จะนำมาฟื้นฟูเยียวยาหรือทำประโยชน์ให้ชาวบ้านชุมชน โดยให้จัดทำเป็นหนังสือมาเสนอต่อชาวบ้านในการฟื้นฟูเยียวยาก่อน หากชาวบ้านยินยอม จึงสามารถขนออกได้
๓. การฟื้นฟูเยียวยาสภาพพื้นที่และสวัสดิภาพชาวบ้าน
ข้อตกลง ให้ชาวบ้านและบริษัท ทุ่งคำ จำกัด จัดทำแผนการฟื้นฟูเยียวยาร่วมกัน โดยชาวบ้านจะต้องยินยอมให้บริษัทฯ เข้าตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่จะฟื้นฟู และให้บริษัทฯ ได้เข้าไปดูแลผู้ป่วย เพื่อประเมินและนำเสนอจัดทำแผนร่วมกัน
จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกำลังจะพัฒนาไปสู่ข้อตกลง ๓ ข้อ ระหว่างบริษัททุ่งคำ และชาวบ้าน ๖ หมู่บ้านที่ต่อสู้คัดค้านการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำที่สร้างผลกระทบในพื้นที่มายาวนานหลายปี แกนนำกลุ่มฅนรักษ์บ้าน มองว่าข้อตกลงดังกล่าวนี้ จะนำมาซึ่งความขัดแย้งในพื้นที่ยิ่งขึ้น และยังอาจจะนำไปสู่การเปิดเหมืองและการขยายพื้นที่ทำเหมืองทองเพิ่มขึ้นอีกในวันหน้า โดยที่บริษัททุ่งคำฯ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการทำเหมืองที่ผ่านมา และผลกระทบจากการเปิดทำเหมืองที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ด้วยเหตุดังนี้ แกนนำกลุ่มฅนรักษ์บ้าน จึงจัดทำเอกสารขึ้นมาหนึ่งชุดที่จะใช้ในการประชาคมในวันที่ ๑๖ ส.ค. ๒๕๕๗ เพื่อให้ชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ได้ลงมติเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบกับข้อเสนอที่จัดทำขึ้นโดย กลุ่มฅนรักษ์บ้าน
โดยเอกสารดังกล่าว มีรายละเอียดและขั้นตอนดังต่อไปนี้
๑. ให้มีการปิดเหมือง โดยจัดทำสัญญาขึ้นเป็นสัญญาลายลักษณ์อักษร ระหว่าง บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตัวแทนชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเลย ร่วมลงนามใน “สัญญาการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเหมืองคำ ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย” เพื่อกำหนดเป็นหลักฐานว่า
๑.๑ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด จะไม่ดำเนินการใดๆ ในการประกอบกิจการเหมืองแร่ หากไม่ได้รับการยินยอมจากชาวบ้านทั้งหมดในพื้นที่ที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป (บรรลุนิติภาวะ)
๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกันพื้นที่ที่เป็น “แหล่งน้ำซับซึม” อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญในด้านการเกษตร และการอุปโภค-บริโภค ของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน และในจังหวัดเลย เพื่อเป็นพื้นที่สงวนหวงห้าม โดยมิให้ใช้ประโยชน์อื่นใดในที่ดินดังกล่าว
๑.๓ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องทำการศึกษาสาเหตุของการปนเปื้อนโลหะหนักในพื้นที่เหมืองแร่และพื้นที่โดยรอบเหมืองแร่ ๖ หมู่บ้าน จนกว่าจะได้ข้อสรุปการปนเปื้อน ผลประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติ ค่าภาคหลวงแร่ กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชน และผลการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ หรือ HIA โดยให้นักวิชาการที่ชาวบ้านมีส่วนในการคัดเลือกเป็นผู้ทำการศึกษาตามหลักการของกระบวนการมีส่วนร่วม
๑.๔ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ขึ้นมาใหม่ หากจะอนุญาตให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด หรือ ผู้ประกอบการรายอื่น เปิดการดำเนินกิจการเหมืองแร่ โดยการจัดทำรายงานฯ ต้องไม่ให้ผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
๒. เงื่อนไขในการขนแร่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ออกนอกพื้นที่
๒.๑ ให้ถอนฟ้องคดีความ ๗ คดี ที่ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้ฟ้องร้อง-กล่าวโทษเอาผิดกับชาวบ้าน ๓๓ ราย
๒.๒ ให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด รื้อถอนและขนย้ายเครื่องจักรออกนอกพื้นที่แปลงประทานบัตร
๒.๓ ส.ป.ก.จังหวัดเลย ต้องไม่ต่อใบอนุญาตให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เข้าใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน ๓๖๙ ไร่ ๓ งาน ๑๗ ตารางวา เพื่อใช้ในกิจการเหมืองแร่ทองคำ ที่หมดอายุลง และให้นำที่ดินดังกล่าวมอบให้ชาวบ้านทั้ง ๖ หมู่บ้าน จัดทำเป็นป่าชุมชน โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดทำป่าชุมชนให้กับชาวบ้านทั้ง ๖ หมู่บ้าน โดยมีคณะกรรมการจาก ๖ หมู่บ้าน เป็นผู้ดำเนินการ
๒.๔ ทสจ.จังหวัดเลย ต้องไม่ต่อใบอนุญาตให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เข้าใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าโคกภูเหล็ก จำนวน ๖๐๘ ไร่ ๓ งาน ๓๔ ตารางวา และที่ดินในเขตป่าตามมาตรา ๔(๑) จำนวน ๓๑๒ ไร่ ๒ งาน ๑๓ ตารางวา เพื่อใช้ในกิจการเหมืองแร่ทองคำ ที่หมดอายุลง และให้นำที่ดิน ในเขตป่าตามมาตรา ๔(๑) จำนวน ๓๑๒ ไร่ ๒ งาน ๑๓ ตารางวา มอบให้ชาวบ้านทั้ง ๖ หมู่บ้าน จัดทำเป็นป่าชุมชน โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดทำป่าชุมชนให้กับชาวบ้านทั้ง ๖ หมู่บ้าน โดยมีคณะกรรมการจาก ๖ หมู่บ้าน เป็นผู้ดำเนินการ
๒.๕ อบต.เขาหลวง ต้องไม่อนุญาตให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เข้าใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าโคกภูเหล็ก
๒.๖ ให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ขนแร่ออกนอกพื้นที่ เฉพาะแร่แต่งแล้ว จำนวน ๑,๙๔๒.๕๔ ตัน
๒.๗ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ขนแร่ ต้องขนแร่โดยปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.๒๕๑๐ ระเบียบที่ประกาศโดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พ.ร.บ.ทางหลวง และระเบียบชุมชนว่าด้วยการใช้ถนนชุมชนและการควบคุมน้ำหนักบรรทุก
๒.๘ การขนแร่ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ออกนอกพื้นที่ จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการขนแร่ ภายใน ๑๕ วัน หลังจากมีการลงนามในสัญญาฯ นี้ คณะกรรมการประกอบด้วย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกจากชาวบ้าน ในอัตราส่วนที่เท่ากัน โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดงบประมาณในการดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าว
๒.๙ การขนแร่ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ออกนอกพื้นที่ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องแจ้งวันและเวลาในการขนแร่ แก่คณะกรรมการตรวจสอบการขนแร่ ก่อนการขนแร่ ๑๕ วัน และให้ทำการขนแร่ได้ในเวลากลางวันเท่านั้น
๒.๑๐ หากการขนแร่ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด มีการทำผิดกฎหมายหรือระเบียบใดๆ ก็ตาม ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และข้าราชการที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ให้ถึงที่สุด
๒.๑๑ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ขึ้นมาใหม่ หากจะอนุญาตให้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และผู้ประกอบการอื่นๆ ประกอบโลหกรรม โดยการจัดทำรายงานฯ ต้องไม่ให้ผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
๓. เงื่อนไขในการฟื้นฟูผลกระทบจากการทำเหมืองแร่
ให้ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดตั้งคณะกรรมการในการศึกษา จัดทำแผน และดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการฯ ประกอบด้วย ตัวแทนของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน นักวิชาการจากสาขาที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน นักวิชาการด้านกฎหมาย ที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อ คัดเลือก แต่งตั้ง โดยนำงบประมาณในการดำเนินการมาจาก กองทุนประกันความเสี่ยง และกองทุนฟื้นฟูพื้นที่ภายหลังการทำเหมืองแร่ โดยต้องไม่ให้ผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยขั้นตอนการดำเนินการ ตามมติความต้องการของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ในครั้งนี้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเลย จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑. หลังจากการปิดเหมือง โดยจัดทำสัญญาการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเหมืองคำ ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตำรวจ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และตัวแทนชาวบ้าน ลงนามในสัญญาฯ เพื่อเป็นหลักฐานให้เป็นที่เรียบร้อย
ขั้นตอนที่ ๒. ให้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามข้อตกลงในสัญญาฯ ให้แล้วเสร็จ และรายงานต่อ คณะกรรมการตรวจสอบการขนแร่ ตามข้อ ๒.๘ ก่อนจะมีการขนแร่
การประชาคมในวันที่ ๑๖ ส.ค. ๒๕๕๗ จึงมีเนื้อหาจากเอกสารที่จะใช้ในการลงมติ ๒ ชุด
เมื่อถึงวันประชาคม ๖ หมู่บ้าน หมู่บ้านห้วยผุก หมู่ ๑, หมู่บ้านกกสะทอน หมู่ ๒, หมู่บ้านโนนผาพุง หมู่ ๑๒, หมู่บ้านภูทับฟ้า หมู่ ๑๓ ได้ใช้เอกสารทั้ง ๒ ชุดในการประชาคม คือ ตัวอย่างรูปแบบการประชุมประชาคม ที่นายอำเภอส่งมาให้ในการทำประชาคม และเอกสารประชาคมของ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด โดยชาวบ้านที่มาประชาคมได้ลงมติในเอกสารทั้งสองชุด ส่วน หมู่บ้านแก่งหิน หมู่ ๔ ใช้เอกสารตัวอย่างจากอำเภอฯ ในการทำประชาคม และ หมู่บ้านนาหนอง หมู่ ๓ ใช้เอกสารประชาคมของ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ในการทำประชาคม
โดยชาวบ้านเกือบ ๑,๐๐๐ ราย ที่มาลงมติประชาคม ด้วยการกากบาทที่ช่อง “เห็นด้วย” กับเนื้อหาในเอกสาร ๒ ชุด และ มี ๑ เสียง ที่ “ไม่เห็นด้วย” กับ เอกสารประชาคมจากอำเภอฯ
หมายความว่า ความต้องการของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ๙๙.๙๙% มีความต้องการจะให้ “ปิดเหมือง”
และการประชาคมในวันนั้นทำให้การเจรจาข้อตกลงในวันรุ่งขึ้น ระหว่างบริษัททุ่งคำ กับ ชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ต้องมีเนื้อหาที่ต้องนำไปเจรจาตามเอกสารประชาคมทั้ง ๒ ชุด
๑๗ ส.ค. ๒๕๕๗ ในวันเจรจาพร้อมด้วย พล.ต.วรทัต สุพัฒนานนท์ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเลย นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายวิชัย เชิดชีวศาสตร์ กรรมการ บริษัททุ่งคำ ผู้ใหญ่บ้าน ๖ หมู่บ้าน อบต.เขาหลวง และตัวแทนจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด โดย นายธนวัฒน์ พลอยโสภณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้รับมอบหมายจากประธานในที่ประชุมเป็นคนกลางในเจรจา
ประมาณ ๓ ชั่วโมงในห้องเจรจาที่ผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่ และตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ได้ถามว่า ข้อตกลงทั้งหมดที่ชาวบ้าน ๖ หมู่บ้านเรียกร้องมาในข้างต้น บริษัททุ่งคำ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร
สำหรับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่มีคำตอบใดๆ เรื่องการเป็นผู้ลงนามในสัญญาฯ ในฐานะคู่สัญญา ไม่ใช่ พยาน รวมถึงไม่มีคำตอบใดๆ อื่นอีกในข้อตกลงที่ชาวบ้านเรียกร้อง นอกจากคำอธิบายในกรณีของ ส.ป.ก. ว่า การอนุญาตให้บริษัททุ่งคำเข้าใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ใบอนุญาตหมดอายุลง ยังเป็นคดีความที่มีการฟ้องร้องในกระบวนการพิจารณาของชั้นศาล ดังนั้นการจะให้ ส.ป.ก.นำที่ดินดังกล่าวมอบให้ชาวบ้านทั้ง ๖ หมู่บ้านจัดทำเป็นป่าชุมชนอาจจะไม่สามารถทำได้
ด้าน นายวิชัย เชิดชีวศาสตร์ กรรมการ บริษัททุ่งคำ ได้ชี้แจงว่า เหมืองทองได้ประกอบกิจการทำเหมืองมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากมีข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษายืนยันออกมาว่าการทำเหมืองก่อให้เกิดผลกระทบ ก็จะทำการปิดเหมืองแน่นอน แต่การจะให้ปิดเหมืองตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านนั้นจะทำให้บริษัททุ่งคำ และบริษัททุ่งคาฮาร์เบอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับความเสียหาย โดยความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายต่อประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากเหมืองทองคำ ซึ่งเป็นค่าภาคหลวงแร่ อีกทั้ง ยังเป็นความเสียหายต่อกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นในบริษัททุ่งคาฮาร์เบอร์ จำนวน 15 ล้านหุ้น (เป็นหุ้น 1.98% ที่ บริษัททุ่งคาฮาเบอร์ ให้เป็นผลประโยชน์แก่รัฐบาลเมื่อครั้งได้รับอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ตะกั่วในทะเล จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2523)
ส่วนประเด็นอื่นๆ คือ การปิดเหมือง โดยคดีความที่อยู่ในชั้นศาล เนื่องจากชาวบ้านได้ฟ้องศาลปกครองให้ถอนประทานบัตรของบริษัททุ่งคำแล้ว หากศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนประทานบัตร เหมืองก็ต้องปิดตามคำสั่งศาล
แต่เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน ดังนั้น ทางบริษัทฯ ขอความชัดเจนเรื่อง ระยะเวลาในการปิดเหมืองชั่วคราว โดยเสนอเป็นข้อตกลงว่า
ให้ปิดเหมืองชั่วคราวจนกว่าศาลปกครอง (คดีที่ชาวบ้านฟ้องให้ถอนประทานบัตร) จะมีคำตัดสิน
ส่วนข้อที่ว่า บริษัท ทุ่งคำ จำกัด จะไม่ดำเนินการใดๆ ในการประกอบกิจการเหมืองแร่ หากไม่ได้รับการยินยอมจากชาวบ้านทั้งหมดในพื้นที่ที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป (บรรลุนิติภาวะ) นายวิชัย กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะต้องให้ชาวบ้านทั้งหมดยินยอม โดยกล่าวอ้างว่า ในการปิดเหมืองนั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ทั้งนี้ นายวิชัย ได้ยืนยันว่า ในการขนแร่ บริษัทฯ จะขนแร่ทั้งหมดที่มีอยู่ในเหมืองทอง และจะเคลื่อนย้ายเครื่องจักรออกจากเหมือง โดยนายวิชัยไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นเครื่องจักรประเภทใด
ประเด็นเรื่องการถอนฟ้องคดีความกับชาวบ้านทั้งหมด ๗ คดี นายธนวัฒน์ รองผู้ว่าฯ ตอบแทนบริษัททุ่งคำต่อข้อเรียกร้องนี้ว่า นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ได้กล่าวในการเจรจาเมื่อวันที่ ๘ ส.ค. แล้วว่า จะถอนฟ้องชาวบ้านทั่วไป แต่ไม่ถอนฟ้องแกนนำ อีกทั้งยังเสนอว่า หากบริษัทฯ จะเปิดเหมืองควรจะใช้วิธีการในการทำประชาคมเพื่อถามความเห็นของชาวบ้าน ๖ หมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม การเจรจาได้จบลงโดยยังไม่มีข้อสรุปใดๆ เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกิดขึ้น แต่จะมีการนำเนื้อหาจากการเจรจาในครั้งนี้ไปจัดทำเป็นข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วจะมีการนัดทุกฝ่ายให้มาทำข้อตกลงอีกครั้ง
ด้วยสถานการณ์ทั้งหมดที่ดำเนินมาดังนี้ คำถามหลายๆ ข้อต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากผลกระทบจากการทำเหมืองทองยังคงไม่มีคำตอบ รวมทั้งได้สร้างให้เกิดคำถามใหม่ๆ ต่อความสัมพันธ์และความซับซ้อนจากผลประโยชน์ในการทำเหมืองทองที่ได้เปิดเผยขึ้นอีกมาหลายประเด็น
ภาพของการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองทอง ในตำบลเขาหลวง ที่สะท้อนภาพปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่เดินหน้าการพัฒนาด้วยการหาผลประโยชน์จากการขายทรัพยากรและแบ่งปันผลกำไรกันเป็นโครงข่ายที่กว้างขวางไว้อย่างชัดเจน
สุดท้ายปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขได้หรือ โดยเฉพาะเมื่อรัฐไทยภายใต้รัฐบาล และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองยังมองเรื่อง “ผลประโยชน์” มีค่าเหนือกว่าชีวิตของประชาชนอยู่ร่ำไป
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.