วิถีเกษตรกรรมในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เกษตรกรรมเพื่อการบริโภค และเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดยครัวเรือนเกษตรกรรายหนึ่งๆ อาจมีการผลิตทั้งสองรูปแบบร่วมกัน คือผลิตพืชอาหารไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน และผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้าร่วมด้วย
ในเชิงหลักการ หากครัวเรือนเกษตรกรทุกรายสามารถพึ่งพาตนเองด้านอาหารจากการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนได้บ้างประมาณหนึ่ง ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะมีหลักประกันหรือความมั่นคงทางอาหารมากกว่าครัวเรือนเกษตรกรที่ผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อขายทั้งหมด ซึ่งต้องนำเงินที่ได้มาซื้ออาหารอีกต่อหนึ่ง
ปัจจุบันมีเกษตรกรน้อยรายมาก ที่จะสามารถดำรงวิถีการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเอาไว้ได้ ด้วยปัญหาในเชิงโครงสร้าง สภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงข้อจำกัดของตัวเกษตรกรเอง ทำให้วิถีการผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศมุ่งไปสู่การผลิตพืชเศรษฐกิจเพื่อการค้า เพื่อให้มีผลตอบแทนและรายได้ที่เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมสมัยใหม่ อีกทั้งต้องนำรายได้ไปซื้อหาอาหารจากตลาดภายนอกมาบริโภค และเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
ในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้เจตนาตั้งธง หรือชี้นำให้เห็นว่า แนวทางไปสู่ความยั่งยืนของเกษตรกรจะต้องย้อนกลับไปสู่การผลิตที่พึ่งพาตนเอง ผลิตเพื่อการบริโภค ส่วนที่เหลือจึงผลิตเพื่อขายเท่านั้น เนื่องจากเข้าใจดีถึงสถานการณ์และข้อจำกัดของเกษตรกรในยุคสมัยปัจจุบัน ที่ต้องดิ้นรนหาทางรอดและปากกัดตีนถีบในทุกทาง
เพราะเกษตรกรไทยในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นเกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตนเอง แต่เป็นเกษตรกรที่ต้องเช่าที่ดินคนอื่น ซึ่งทำให้ไม่มีอำนาจกำหนดรูปแบบการผลิตหรือชนิดพืชที่ปลูกได้เองอีกต่อไป ไม่ได้เป็นเกษตรกรที่มีเงินลงทุนของตนเอง จึงต้องรีบขายผลผลิตเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ให้ทันตามระยะเวลา และไม่ได้ทำอาชีพเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะรายได้จากการเกษตรอย่างเดียวอยู่ไม่รอด จึงต้องดิ้นรนหารายได้จากอาชีพอื่นร่วมด้วย ทั้งรับจ้างในภาคเกษตร รับจ้างนอกภาคเกษตร หรือออกไปรับจ้างต่างถิ่น
โดยงานศึกษาสถานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือนเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง (เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และชัยนาท) ของกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน ระหว่างปี 2556-2557 พบว่า ภาพรวมครัวเรือนเกษตรกรส่วนใหญ่มีสัดส่วนรายได้จากภาคเกษตรสูงกว่ารายได้นอกภาคเกษตรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในสัดส่วน 54 ต่อ 46
ทั้งยังเห็นอีกด้วยว่า รายได้จากภาคเกษตรของเกษตรกรมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครัวเรือนเกษตรกรมีรายได้นอกภาคเกษตรสูงกว่าในภาคเกษตรถึงร้อยละ 90 ต่อ 10 โดยกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรยากจนจะมีรายได้นอกภาคเกษตร สูงกว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางและรายได้มาก รวมทั้งมีหนี้สินสูงกว่ารายได้ถึง 29 เท่า ไม่มีเงินออม แต่ต้องใช้เงินกู้ยืมหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนแทน
หากดูแนวโน้มภาพใหญ่ระดับโลก ประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่ยุครอยต่อระหว่างวิถีเกษตรยุคใหม่กับวิถีเกษตรยุคถัดไป แนวนโยบายปัจจุบันจะไม่สามารถแก้ปัญหาภาคเกษตรในอนาคตได้ แนวนโยบายเดิมๆ จะนำไปสู่วงจรปัญหาเดิมๆ เช่น เมื่อเกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรก็จะออกมาเรียกร้องชุมนุม รัฐก็จะจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นครั้งคราว เมื่อผลผลิตราคาดีขึ้น พื้นที่การผลิตก็จะเพิ่มขึ้น จะเกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ เป็นวงจรไม่สิ้นสุด
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาล “ประยุทธ์ 3” ออกแนวคิดใหม่ “สมการรายได้ชาวนาเท่ากับ X+Y+Z” ซึ่งฟังดูอาจคล้ายคลึงกับแนวความคิดเรื่อง “การจ้างชาวนาให้เลิกปลูกข้าว” ที่ออกมาช่วงก่อนหน้านี้ นโยบายใหม่นี้คือการสร้างแรงจูงใจให้ชาวนางดเว้นการทำนาปรัง โดยหันมาปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทน โดย X หมายถึงรัฐจะ “เช่าที่นา” ของเกษตรกร และ Y คือรัฐจะ “ว่าจ้าง” ให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทน ส่วน Z คือเมื่อได้ผลผลิตก็นำมา “แบ่งปันรายได้” ซึ่งกันและกัน
โดยส่วนตัวแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายจ้างชาวนาให้เลิกทำนา แต่ค่อนข้างเห็นด้วยกับนโยบายใหม่ที่ออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับชาวนามากขึ้น ถึง 3 ต่อ ทั้งจากค่าเช่า ค่าจ้าง และส่วนแบ่งรายได้จากการขายผลผลิต ซึ่งเห็นได้ว่ารัฐบาลมีการสรุปบทเรียน ทำการบ้านเพิ่มเติม โดยนำความต้องการและข้อท้วงติงจากชาวนามาปรับเป็นแนวนโยบายใหม่
สังคมชนบทของไทยกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมเมืองและสังคมอุตสาหกรรม วิถีเกษตรกรรมในอีก 20 ปีข้างหน้า จะปรับโฉมหน้าไปจากนี้อย่างแน่นอน เราจะเข้าสู่สังคมเกษตรกรสูงวัย คนรุ่นใหม่ไม่เข้าสู่ภาคเกษตร แรงงานภาคเกษตรจะขาดแคลน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำเกษตรไปจากเดิม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อนก็จะมีผลต่อรูปแบบการเกษตรในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง
อะไรคือคำตอบของวิถีเกษตรกรรมยุคถัดไปที่เหมาะสมกับสังคมไทย ที่ผ่านมามีแนวความคิดบางเรื่องถูกนำเสนอสู่สาธารณะออกมาบ้าง และบางส่วนถูกบรรจุอยู่ในแผนการดำเนินงานและโครงการของภาครัฐไปแล้ว ตัวอย่างเช่น การผลิตรวมแปลงขนาดใหญ่ (Sharing Farming) เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนและปัจจัยการผลิต การบริหารจัดการร่วมในแปลงขนาดใหญ่จะทำให้ต้นทุนต่อไร่ถูกลง เช่น การซื้อปุ๋ยปริมาณมากโดยตรงจากผู้ผลิตจะถูกกว่า และการสร้างอำนาจต่อรองของกลุ่มเกษตรกร เพื่อกำหนดราคาซื้อขายผลผลิต หรือ การจัดโซนนิ่งพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการวางแผนการผลิต ป้องกันปัญหาผลผลิตล้นตลาด และผลผลิตราคาตกต่ำ
รวมถึงแนวทางข้อเสนอจากกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ซี่งยังไม่ได้การตอบรับจากระดับนโยบาย เช่น สมาพันธ์สมาคมชาวนาไทย มีข้อเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในรูปแบบเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเพื่อให้ชาวนามีอาชีพเสริม เช่น การเลี้ยงสัตว์ โดยแบ่งพื้นที่ 2 ไร่ เพื่อปลูกหญ้าเนเปีย จำนวน 1 ไร่ 2 งาน ส่วนอีก 2 งานใช้ทำคอกเพื่อเลี้ยงแม่วัว 6 ตัว เป็นต้น
น่าจะถึงเวลาแล้ว ที่ภาครัฐและสังคมจะต้องให้ความสำคัญต่อกระบวนการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาภาคเกษตรกรรม โดยควรจัดให้มีการแลกเปลี่ยนถกเถียงถึงแนวทางอันเหมาะสม ที่จะตอบโจทย์การแก้ปัญหาให้กับตัวเกษตรกร และเพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
พิมพ์ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ 23 ตุลาคม 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.