คงไม่ต้องกล่าวถึงรายละเอียดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่คณะรัฐมนตรีชุดนี้เพิ่งอนุมัติงบประมาณไป 1.36 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมาอีกครั้ง เพราะสื่อหลายแขนงได้ให้ข้อมูลรายละเอียดที่มากพอแล้ว มองโดยภาพรวม มาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชน เพราะปัญหาเศรษฐกิจซบเซา ราคาผลผลิตตกต่ำทั่วประเทศ ทำให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบเห็นร่วมกันว่าจะต้องการมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อแก้ไขปัญหาและเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้น
มีหลายประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ ประเด็นแรกก็คือ ปรากฏการณ์เศรษฐกิจซบเซาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นอีกครั้งว่า ภาคเกษตรกรรมและเกษตรกรกลุ่มรากหญ้า มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ การที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ข้าวที่ราคาตกต่ำอย่างหนักเหลือเพียงตันละสี่พันกว่าบาท และยางพาราที่ราคาตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละสี่สิบกว่าบาท ส่งผลให้เกษตรกรในชนบทได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนัก และต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ รุนแรงจนส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศถดถอยได้
ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อมองย้อนกลับไป ในช่วงก่อนหน้านี้ รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจกับกลุ่มเกษตรกรรากหญ้ามากนัก เพราะกังวลกับคำว่านโยบายประชานิยมและการใช้งบประมาณของรัฐที่มากเกินควร ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา พุ่งเป้าไปที่การขยายการลงทุนทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและบริการจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ แต่การกระตุ้นให้มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในช่วงเวลาที่ผ่านมา กลับไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาที่เกิดขึ้นระดับประเทศได้
ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลวางแผนปล่อยเงินออกมาครั้งนี้ อันที่จริงอาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจกับกลุ่มเกษตรกรรากหญ้าก็เป็นได้ แต่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้กระเตื้องขึ้นเท่านั้น โดยใช้วิธีการปล่อยเงินออกมาให้กลุ่มคนรากหญ้าได้จับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เกิดลูกโซ่ทางเศรษฐกิจ แม้เกษตรกรกลุ่มรากหญ้าจะได้รับผลประโยชน์จากเม็ดเงินก้อนนี้ด้วยก็ตาม
ในสภาพเศรษฐกิจของชนบทไทยและภาวะเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบัน ส่วนราชการและภาคเอกชนย่อมรู้ดีว่าภาวะหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี สูงมากเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือสูงมากกว่าร้อยละ 80 ของจีดีพี และรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไตรมาสแรกของปี 2558 ระบุว่า ประเทศไทยมีหนี้ภาคครัวเรือนรวม 10.5 ล้านล้านบาท ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สินกับธนาคารของรัฐและเอกชน และมีสภาพหนี้ NPL ผิดนัดชำระและมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องจากสถาบันการเงินเพื่อยึดทรัพย์และที่ทำกิน รวมทั้งในช่วงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมานี้ หนี้นอกระบบที่ใช้วิธีติดตามทวงคืน ด้วยการคุกคามถึงชีวิตหรือเป็นเหตุให้ต้องหลบหนีออกจากชุมชน ก็ระบาดไปทั่วทุกแห่งในชนบท จนเรียกได้ว่า แทบทุกหมู่บ้านในชนบทจะมีเกษตรกรจำนวนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้นอกระบบที่หนักหน่วง และรุนแรงมากกว่าหนี้ในระบบเสียอีก
จึงน่าสงสัยว่า หากสถานการณ์ของเกษตรกรกลุ่มรากหญ้า กำลังเผชิญหน้ากับหนี้ในระบบที่อาจจะทำให้พวกเขาสูญเสียที่ทำกิน และหนี้นอกระบบที่อาจจะทำให้พวกเขาหลายคนต้องหลบหนีออกจากชุมชน หรืออยู่ในภาวะถูกคุกคาม ต้องหาเงินมาส่งดอกเบี้ยพวกหมวกกันน็อกรายวัน จนไม่มีปัญญาจะคิดไปทำมาหากินอย่างอื่น เมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว แน่นอนพวกเขาต้องการแหล่งเงินกู้อื่นที่เป็นทางเลือก แต่กองทุนหมู่บ้าน และมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่ออกมานี้ จะมีส่วนช่วยพวกเขาได้อย่างไร
แม้การปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านในครั้งนี้ จะปล่อยให้เฉพาะกองทุนหมู่บ้านระดับเกรด A และ B ที่เข้าเกณฑ์ แต่กองทุนที่ผ่านเกณฑ์ที่ว่านี้ ก็มีมากถึงเกือบหกหมื่นกองทุน ข้อสังเกตที่สำคัญคือการควบคุมดูแล และพิจารณาเงื่อนไขของการให้กู้ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพของเกือบหกหมื่นกองทุนนี้ น่าจะเป็นไปได้ยากมาก
และเมื่อพิจารณาถึงวงเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด เมื่อแบ่งกันในชุมชนแล้ว เกษตรกรอาจจะได้เงินมาหมุนเพียงคนละห้าพันถึงสองหมื่นบาท หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ อาจจะเป็นได้แค่สถานการณ์ไฟไหม้ฟาง ที่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วก็วูบไป เหลือไว้เพียงฝุ่นขี้เถ้า ที่กลายเป็นหนี้ NPL ก้อนใหม่ของเกษตรกรรากหญ้าก็เป็นได้ ใครจะรู้ เพราะว่าก่อนหน้านี้เศรษฐกิจของพวกเขา ก็อยู่ในสภาพเพียบแปล้อยู่แล้ว
ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปล่อยกู้มากขึ้นกับกลุ่มรากหญ้าวงกว้างระดับประเทศ โดยไม่มีองค์กรที่มีประสิทธิภาพและมาตรการควบคุมที่ใกล้ชิดดีพอ จะเป็นเช่นดาบสองคม แม้จะช่วยเศรษฐกิจได้บ้าง แต่อาจเป็นการทำร้ายคนที่อยู่ในสภาพย่ำแย่ ให้แย่ลงไปอีกเพราะมีหนี้เพิ่มขึ้น
คำถามสำคัญคือ หากภาครัฐเห็นว่ากองทุนชุมชน หรือสถาบันการเงินชุมชนขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน เพื่อปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรนำไปลงทุนด้านเศรษฐกิจ ที่สามารถส่งผลกระทบด้านบวกต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศ ดังที่เห็นแล้วจากปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทำไมภาครัฐถึงไม่ทำงานในการพัฒนาและเสริมความเข้มแข็งให้กับสถาบันการเงินชุมชนอย่างจริงจัง เพราะสถาบันการเงินชุมชนของเกษตรกรในหลายแห่ง มีความเข้มแข็งและสามารถเป็นที่พึ่งทางการเงินของเกษตรกรได้จริง แม้จะมีอยู่ไม่มากก็ตาม ที่สำคัญคือสถาบันเหล่านี้ยังต้องการการสนับสนุนความรู้และระบบบริหารจัดการ เพื่อให้เป็นสถาบันการเงินชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
หากเห็นว่าภาคเกษตรกรรรม และเกษตรกรกลุ่มรากหญ้ามีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวม (ซึ่งที่จริงแล้ว มีความสำคัญต่อระบบความมั่นคงด้านอาหารของประเทศในระยะยาวด้วย) รัฐบาลก็ควรคิดถึงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสถาบันการเงินระดับชุมชนที่มั่นคงในระดับรากหญ้าด้วย ประสบการณ์ในหลายประเทศชี้ให้เห็นแล้วว่า หากได้รับการสนับสนุนด้านความรู้และการบริหารจัดการ รวมทั้งเงินทุนจากรัฐที่เพียงพอ สถาบันการเงินชุมชน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสหกรณ์ หรือไม่ใช่ก็ตาม สามารถที่จะทำงานแทนสถาบันการเงินขนาดใหญ่ได้ เช่น การปล่อยกู้ให้เกษตรกรนำเงินไปลงทุนทำการผลิต การเข้ามาเป็นตัวกลางบริหารจัดการแปรรูปผลผลิตของเกษตรกร บางแห่งสามารถรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรได้ด้วยในราคาประกัน และบางแห่งสามารถรวบรวมเงินและกำไรไปซื้อที่ดินของเกษตรกรที่กำลังจะถูกขายทอดตลาด เพื่อให้เกษตรกรรายอื่นมาเช่าทำกิน หรือเกษตรกรรายเดิมมาซื้อคืนได้ด้วยซ้ำ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ รัฐบาลควรต้องตั้งเป้าหมายในการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกรกลุ่มรากหญ้าในระยะยาวให้มั่นคง ไม่ใช่เพียงให้เกษตรกรจับจ่ายใช้สอยเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจประเทศ ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยภาวะหนี้สินที่ยากเกินแก้ไขในอนาคตก็ได้
พิมพ์ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ วันที่ 18 กันยายน 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.