หนี้สินเกษตรกร ควรแก้จากจุดไหน วินัยทางการเงินหรือปัญหาเชิงโครงสร้าง

thaifarmer

 

ถานการณ์ฝุ่นตลบหลังการเลือกตั้งที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้คงชัดเจนแล้วว่าใครได้เป็นนายกรัฐมนตรี ใครได้เป็นรัฐบาลและใครเป็นฝ่ายค้าน โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญที่แทบทุกพรรคการเมืองได้หยิบยกเป็นนโยบายหาเสียงกับเกษตรกรที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ นั่นคือ การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรและหนี้สินเกษตรกร ซึ่งผู้เขียนขอถือโอกาสนี้ฝากไปยังรัฐบาลและฝ่ายการเมืองที่เข้ามาดูแลและรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้พิจารณา

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย(รวมถึงครัวเรือนเกษตร) นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หนี้ครัวเรือนไทยมีอัตราการขยายตัวเร็วกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 78.6 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วไปซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 40 จากงานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการสุ่มสำรวจตัวอย่าง 1,500 ครัวเรือนทั่วประเทศ มีข้อสรุปผลการศึกษาพบว่า “วินัยทางการเงินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือน” ครัวเรือนที่มีหนี้มีแนวโน้มที่จะระมัดระวังการใช้จ่ายน้อยกว่าครัวเรือนที่ปลอดหนี้ และครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาทางการเงินมักเป็นกลุ่มที่ขาดการวางแผนทางการเงิน อย่างไรก็ตามมีข้อถกเถียงกันว่าหนี้ครัวเรือนเกษตร ควรแก้จากจุดไหน วินัยทางการเงินหรือปัญหาเชิงโครงสร้าง?

หนี้เกษตรกร คือ หนี้เรื้อรัง หนี้สะสมเพิ่มสูง เกิดจากโครงสร้างรายได้และรายจ่ายไม่สมดุล

ข้อมูลจากสำนักจัดการหนี้เกษตรกร กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ปี 2561 พบว่า มีเกษตรกรยากจนที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกองทุนฟื้นฟูฯ กว่า 6 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ย 56,000 บาทต่อปี ขณะที่รายจ่ายเฉลี่ยสูงกว่าเท่าตัวคือ 130,000 บาทต่อปี และเกษตรกรยากจนเหล่านี้มีหนี้สะสมมากกว่า 84,000 ล้านบาท

ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสถิติสภาพเศรษฐกิจของครัวเรือนเกษตรกร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระหว่างปี 2555-2559 พบว่า โครงสร้างรายได้และค่าใช้จ่ายของเกษตรกร รายได้จากการเกษตรเมื่อหักรายจ่ายทางการเกษตร ซึ่งเฉลี่ยคิดเป็นกว่าร้อยละ 60 ของรายรับ เท่ากับเกษตรกรมีรายได้สุทธิจากการเกษตรเหลือเพียงไม่ถึงร้อยละ 40 (เฉลี่ยประมาณ 58,975 บาทต่อครัวเรือนในปี 2559) ซึ่งจะเห็นว่ารายได้จากภาคเกษตรไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายทั่วไปของครัวเรือน (ที่มา : รายงานศึกษาพฤติกรรมและสถานการณ์ทางการเงินของครัวเรือนที่ปัญหาหนี้สิน โดยผศ.ดร.ชญานี ชวะโนทย์ ,2562)

นอกจากนี้งานศึกษาดังกล่าวข้างต้นได้ทำการศึกษาเชิงลึกในพื้นที่ตำบลบางขุด จังหวัดชัยนาท พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาหนี้สินจากการกู้มาเพื่อทำการเกษตร แล้วผลผลิตไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งมาจากปัญหาภัยธรรมชาติ หรือราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะไปใช้คืนหนี้สินได้ทันตามกำหนด หลายคนเป็นหนี้เริ่มต้นจากเงินต้นไม่มากนัก แต่จากการผิดนัดชำระหนี้ ไม่มีเงินพอไปใช้หนี้คืนก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีดอกเบี้ยคงค้างทบต้นมาเรื่อย ๆ บางกรณีถูกหลอกให้กู้จากการรวมกลุ่มทำการเกษตร บางกรณีเป็นหนี้นอกระบบจากการทยอยกู้มาลงทุนการเกษตร แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ จนหนี้สินบานปลาย และจำต้องยอมขายที่ดินให้กับนายทุนเพื่อใช้หนี้บางส่วน

“กลไกสินเชื่อ กับดักหนี้เกษตรกร”

สาเหตุสำคัญของการมีปัญหาหนี้ของครัวเรือนเกษตร เกิดจากรายจ่ายที่ไม่เพียงพอกับรายได้ โดยต้องยอมรับว่าหนึ่งในต้นตอหนี้สินเกษตรที่มีมานาน คือ ต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลผลิตต่ำ มีการใช้แรงงานจากเครื่องจักรมากกว่าแรงงานคน ทำให้เกษตรกรต้องเช่าหรือซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตร รวมถึงกรณีผลผลิตทางการเกษตรลดลงเนื่องจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสาเหตุที่หนี้สินยังดำรงอยู่และเรื้อรัง นั่นเพราะ เกษตรกรส่วนใหญ่ติด “กับดักหนี้” โดยวังวนการเป็นหนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเกษตรกรขาดความรู้และวินัยทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเกิดมาจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อพร้อมดอกเบี้ยในสถานการณ์ที่เกษตรกรไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้ จากการที่รายรับจากผลผลิตทางการเกษตรไม่สูงพอ และความต้องการพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก คือเงื่อนไขให้ต้องกู้ยืมเงินจากช่องทางต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ดำรงชีพและประกอบอาชีพ นอกจากนี้โครงการพักชำระหนี้ของรัฐบาลแม้ว่าเหมือนจะช่วยยืดเวลาการชำระหนี้เงินต้นออกไป แต่ระหว่างที่หยุดพัก ก็ยังจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ สำหรับเกษตรกรบางรายในช่วงเวลาปกติก็สามารถชำระได้เพียงดอกเบี้ยอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับไม่ใช่ทางออกของปัญหาหนี้สินของเกษตรกร หากไม่มีแนวทางอื่น ๆ ร่วมด้วย

จะเห็นได้ว่าต้นตอปัญหาหนี้สินเกษตรกร ไม่ใช่เพียงเพราะเกษตรกรขาดความรู้และวินัยทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะปัจจัยโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่กดทับ ทำให้เกษตรกรขาดทางเลือกและยังจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานภายนอก ทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนมีส่วนสัมพันธ์และมีผลสืบเนื่องกัน โดยแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรให้เกิดประสิทธิผล ควรมองแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งระดับครัวเรือนและเชิงโครงสร้าง ภาครัฐควรยื่นมือช่วยเหลือด้วยการแก้โครงสร้างหนี้พร้อมกับการ สร้างอาชีพ หากเกษตรกรมีความรู้และวินัยทางการเงินที่ดี สามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ของตนเอง ประกอบการมีนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพและลดช่องว่างทางรายได้ของเกษตรกร ก็จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างมั่นคงไปด้วย

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 9 มิ.ย. 2562

ผู้เขียน : อารีวรรณ คูสันเทียะ

  • ฮิต: 3008

วัฏจักร ‘หนี้สิน’ บ่วงกั้นเกษตรกรไทย ปิดทางไปสู่อินทรีย์-วิถีใหม่

Debtcycle

 

แรงจูงใจจากผู้บริโภค นับเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อการเกษตรกรรม เพราะนอกจากจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้แล้ว ยังถือเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้กับการคิดค้นและขยายพันธุ์ต่อยอดจากสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่

ทว่าอุปสรรคสำคัญที่คอยกีดกันลู่ทางสู่การขยายผลต่างๆ เหล่านี้ เป็นที่ทราบกันดีและปฏิเสธไม่ได้ว่า “หนี้สิน” คือตัวการใหญ่ของปัญหาในที่นี้

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระหว่างปี 2552-2559 พบว่า หนี้สินปลายปีของเกษตรกรต่อครัวเรือน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว จาก 54,061 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มเป็น 123,454 บาทต่อครัวเรือน โดยในช่วงปี 2553-2556 มีอัตราการเพิ่มของหนี้สินเกินกว่า 20% ต่อปี

90% ของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร มีเจ้าหนี้ที่ชื่อว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)

จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินและการทำเกษตรอินทรีย์โดย เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้เห็นเหรียญสองด้านในการลงทุนของเกษตรกร

ด้านแรกคือ เครดิต หรือการให้ความเชื่อมั่นแก่ “นายทุน” ว่า “เกษตรกร” จะสามารถขยายผลการผลิตให้ได้เงินคืนพร้อมผลตอบแทนที่เหมาะสม น่าดึงดูดใจ

เครดิต นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับนายทุน เพราะสามารถทำให้เกษตรกรเพิ่มได้ทั้งขนาดและประสิทธิภาพของการผลิต อีกทั้ง เครดิต ยังส่งผลให้นายทุนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ ว่าจะให้ลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตแบบใด

เมื่อมองในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ นั่นคือ หนี้ เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองซึ่งกันและกัน กล่าวคือ การที่เกษตรกรสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นายทุนได้ว่า ผลตอบแทนจากการผลิตนั้นมีความคุ้มค่า น่าดึงดูดใจ แต่ทว่าอีกนัยหนึ่ง หากเกษตรกรไม่สามารถทำให้ผลผลิตประสบความสำเร็จเป็นไปอย่างที่คาดหวัง แน่นอนว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนย่อมได้ไม่คุ้มค่า

ทั้งนี้ หากแนวทางและหลักประกันเดิมๆ ยังสร้างผลตอบแทนให้กับนายทุนอยู่ ความเสี่ยงที่พ่วงมาในด้านต่างๆ จึงนำไปสู่การกู้หนี้ยืมสิน เพื่อรักษากระบวนการผลิตแบบเดิมๆ และรักษาหลักประกันที่ให้ไว้กับผู้ให้กู้ยืม

อย่างไรก็ตามเมื่อเกษตรกรก้าวเข้าสู่วงเวียนของหนี้สิน ก็เสมือนกับการติดกับดัก เพราะจากผลการวิจัยของ ดร.เดชรัต ชิ้นนี้ พบว่ามีจำนวนเกษตรกรไม่น้อยที่ไม่ทราบข้อมูลหนี้สินของตน สาเหตุเพราะส่วนหนึ่งไม่มีสัญญาเงินกู้อยู่ในมือ โดยบางรายไม่เก็บเอกสารชำระหนี้ของตนไว้ และเกษตรกรบางส่วนจะได้เห็นสัญญาเงินกู้ของตนก็ต่อเมื่อถูกดำเนินคดีไปแล้ว

กับดักที่สองคือ เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่รู้กลไกการทำงานของอัตราดอกเบี้ย ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเงินต้น 1 แสนบาท ถึงทบต้นกลายเป็น 4 แสนบาท จึงทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ และกับดักที่สาม เกษตรกรไม่เคยตรวจสอบเอกสารหนี้และการคิดดอกเบี้ย เนื่องจากมีความเกรงใจต่อเจ้าหน้าที่ดำเนินงาน ส่วนกับดักที่สี่ เมื่อเข้าสู่การดำเนินคดี เกษตรกรส่วนมากไม่รู้กระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย คนส่วนใหญ่จึงไม่สู้คดี ทั้งยังยอมเข้าสู่การบังคับคดีในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ยังมีกับดักสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ขั้นบังคับคดี ซึ่งจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น 3 แบบ คือ 1.ที่ดินของเกษตรกรได้รับการประเมินในราคาประมูลที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้พวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ได้หมด 2.เกษตรกรที่พอมีแรงจะรักษาที่ดินของตนเอง จะต้องเข้าร่วมการประมูลขายทอดตลาด และบางครั้งเกษตรกรอาจได้ที่ดินกลับคืนจากการประมูล 3.ในระยะหลังเจ้าหนี้มีการเข้าร่วมประมูลที่ดิน และเสนอราคาที่สูงจนทำให้เกษตรกรไม่สามารถชนะการประมูลได้

หากมองในภาพรวมของประเทศไทย เกษตรกรที่ขอขึ้นทะเบียนไว้ที่กองทุนฟื้นฟูเกษตรกรฯ เพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการหนี้สิน มีประมาณ 5.1 แสนราย คิดเป็นยอดหนี้ประมาณ 86 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 1.5 แสนรายเริ่มเป็นหนี้ที่ผิดนัดชำระ 1.3 หมื่นรายถูกดำเนินคดีไปแล้ว ประมาณ 7,000 รายเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาดที่ดิน และ 2,400 รายถูกขายทอดตลาดไปแล้ว

เกษตรกรหลายรายที่ติดกับดักหนี้สิน ต่างพยายามหาทางออกให้ตนเองในแบบต่างๆ เช่น การหันมาทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนในวงจรการผลิตแบบเดิม แสวงหาวิธีผลิตแบบใหม่ที่จะทำให้ตนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ทว่าบางคนกลับยังมองว่า แม้การผลิตเพื่อตอบสนองนายทุนจะมีความเสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็สูงตามไปด้วย ผิดกับการทำเกษตรแบบอินทรีย์ ที่การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ส่วนผลตอบแทนต่ำ

ตัวอย่างหนึ่งในกรณีศึกษาจากงานวิจัย เรื่องการปรับตัวของสวนส้มอินทรีย์ของ วรพนธ์ สาสดี ซึ่งเขาระบุว่า การทำเกษตรเคมีมีต้นทุนสูง เพราะต้องซื้อทั้งสารเคมีและอุปกรณ์ในการฉีดพ่น เนื่องจากสารเคมีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างผลผลิตให้เกษตรกรมีรายได้มาก แต่การลงทุนไปกับสารเคมี ทำให้เขาเหลือเงินไม่เพียงพอสำหรับจ่ายหนี้ ธกส. เขาจึงเปลี่ยนจากการทำเกษตรเคมี มาเป็นเกษตรอินทรีย์

ในปีแรก สวนส้มของวรพนธ์มีสภาพสดชื่นและแข็งแรง แม้ผลผลิตจะออกมาไม่มากก็ตาม ในปีถัดมาสวนส้มของเขาให้ผลผลิตจำนวนมาก แต่ก็เสียหายไปไม่น้อยเนื่องจากส้มที่ออกมาเปลือกบาง

เมื่อเข้าสู่ปีที่สาม วรพนธ์ได้ผลผลิตถึง 30 ตัน แต่ยังคงมีปัญหาทางการตลาด ทั้งในด้านการรับรองมาตรฐานแปลงเกษตรอินทรีย์ และการเข้าถึงแหล่งเกษตรอินทรีย์โดยตรงแทนที่จะผ่านคนกลาง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้เกษตรอินทรีย์จะลดการผูกขาดใช้สารเคมี แต่ตลาดของเกษตรอินทรีย์ก็ยังผูกขาดกับผู้รับรองมาตรฐานและพ่อค้าคนกลางอยู่

แม้การปลูกส้มอินทรีย์จะให้ผลผลิตที่ต่ำกว่าส้มที่ปลูกแบบเคมีถึงครึ่งต่อครึ่ง แต่ในด้านของการลงทุนและค่าใช้จ่าย ต้องนับว่าการปลูกส้มแบบอินทรีย์ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาก ทั้งยังได้ราคาที่สูงกว่าส้มเคมีด้วย เพราะตลาดผู้บริโภคเกษตรอินทรีย์ เป็นตลาดที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายราคาสูงกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมี

โดยสรุปแล้ว เครดิตก็ยังถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นายทุน ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งของตลาดเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรเคมีก็ตาม ส่วนหนี้คอยทำหน้าที่เป็นอุปสรรคเพื่อกีดขวางไม่ให้เกษตรกรออกจากแนวทางการผลิตแบบเดิมๆ ปัญหาเรื่องหนี้สินของเกษตรกรไทยจึงอาจตอบคำถามได้ข้อหนึ่งว่า สาเหตุใดเกษตรกรบางส่วนจึงเลือกที่จะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ มากกว่าการหาลู่ทางใหม่เพื่อทำกิน

พอเป็นเช่นนั้น การจะทำให้เกษตรกรเปลี่ยนผันตนเองไปสู่วิถีเกษตรอินทรีย์ได้ จึงจำเป็นต้องสร้างเครดิต ที่จะพาเกษตรกรออกจากกระบวนการเดิมๆ และให้ความมั่นใจแก่เกษตรกรว่า วิธีการผลิตแบบใหม่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพียงพอต่อการนำไปปลดล็อคพันธนาการเดิมๆ ที่ถูกกับดักหนี้สินรัดตรึงเอาไว้

ที่มา : สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม วันที่ 1 เม.ย. 2562

ผู้เขียน : เกษมะณี วรรณพัฒน์

  • ฮิต: 3039

แก่นใจกลาง..ปัญหาหนี้สินเกษตรกร

581120 famer

การเปิดเผยของกรมส่งเสริมการเกษตร ถึง รายได้ของเกษตรกรว่ามีเกษตรกรถึงร้อยละ 85 ที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ต่อวัน สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจน ถึงสถานะทางเศรษฐกิจของชาวนาและเกษตรกรไทยในยุคปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม: แก่นใจกลาง..ปัญหาหนี้สินเกษตรกร

  • ฮิต: 1992

ติดตามเราได้ที่ facebook youtube

ผู้เข้าชม

6749626
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
ทั้งหมด
2804
10037
29818
141152
6749626

Your IP: 18.224.37.68
2024-04-26 14:25