กระทรวงเกษตรเตรียมต้อน “ล้ง” เข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญา

Created
วันพฤหัสบดี, 10 พฤษภาคม 2561
Created by
บ้านเมือง
Categories
ข่าว
 

Middleman

 

 

กระทรวงเกษตรฯปลื้มผู้ประกอบธุรกิจเกษตรตบเท้าจดแจ้งสู่ระบบเกษตรพันธสัญญายอดพุ่ง 159 ราย    มั่นใจอานิสงส์กฎหมายเกษตรพันธสัญญาหนุนอุตสาหกรรมเกษตรไทยก้าวกระโดด  พร้อมเตรียมประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจในรอบ 1 ปี และเร่งประชาสัมพันธ์กฎหมายต้อน “ล้ง” เข้าสู่ระบบ  ป้องกันกระทบต่อเศรษฐกิจการส่งออกสินค้าเกษตรไทยอนาคต 
 
 
 
นายพีรพันธ์    คอทอง    รองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กล่าวว่า     ภายหลังกระทรวงเกษตรฯได้บังคับใช้พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๐ระยะเวลา 7 เดือนนับจากวันที่ 23 กันยายน 2560 ที่ผ่านมาปรากฏว่ามีผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรจดแจ้งเข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญาเพิ่มขึ้นเป็น 159 รายจากเดิม 90 ราย   ครอบคลุมธุรกิจด้านทางการเกษตรทุกประเภท   แบ่งเป็นด้านพืชจำนวน 103 ราย  ด้านปศุสัตว์จำนวน 34 ราย   ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจำนวน 11 ราย ด้านพืชและปศุสัตว์จำนวน 2 ราย  นอกนั้นอีกจำนวน 9 รายอยู่ในขั้นดำเนินจัดทำเอกสารจดแจ้งสู่ระบบ ซึ่งแต่ละรายส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจด้านการเกษตรมาอย่างยาวนาน  เช่น  กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล   กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์พืช กลุ่มธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  กลุ่มธุรกิจปศุสัตว์ เช่น  ผู้เลี้ยงไก่เนื้อ เป็นต้น จากข้อมูลดังกล่าวเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความเจริญก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
 
 
นอกจากนี้        ยังได้เร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายเกษตรพันธสัญญาไปยังผู้ประกอบการรวบรวมผลไม้หรือล้ง  เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าวได้ทบทวนพิจารณาธุรกิจของตนเองว่าเข้าข่ายการทำสัญญาระบบเกษตรสัญญาหรือไม่ ถ้าหากเข้าข่ายผู้ประกอบการเหล่านั้นจะต้องมาแจ้งการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญากับสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ หรือสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดในทันที  ซึ่งปัจจุบันได้รับร้องเรียนปัญหาของล้งเข้ามา  2 กรณีหลักๆ คือ สัญญาที่ล้งทำกับเกษตรกรมีการเอาเปรียบ   และสองล้งมาทำให้ระบบการผลิตสินค้าเกษตรเสียหาย  ไม่มีการกำหนดสเปกคุณภาพของผลผลิตที่ชัดเจน ทำให้กระบวนการซื้อขายไม่เป็นไปตามกลไกตลาด  กระทบต่อเศรษฐกิจการส่งออกสินค้าเกษตรไทยเป็นอย่างมาก   ดังนั้นจึงอยากผลักดันให้ล้งเข้ามาสู่ระบบเกษตรพันธสัญญา เพื่อจะได้ควบคุมล้งเข้าสู่ขบวนการผลิตที่มีคุณภาพและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต
 
 
นายพีรพันธ์     ด้วยว่า   ปัจจุบันมีการนำระบบเกษตรพันธสัญญามาใช้ในกระบวนการผลิตผลิตผลบริการทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย      หากส่งเสริมและพัฒนาตามหลักสากลจะช่วยสร้างความไว้วางใจความร่วมมือในระยะยาว    โดยในส่วนของเกษตรกรจะมีความมั่นคงทางรายได้ ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐาน มีการควบคุมต้นทุนในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร  ที่สำคัญคือมีการป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
 
 
 ในขณะที่ผู้ประกอบการก็จะได้รับผลิตผลที่มีคุณภาพมาตรฐานตามระยะเวลาที่กำหนด แตกต่างจากในอดีตซึ่งสัญญามีลักษณะผสมผสาน มีความซับซ้อนและยุ่งยาก เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าและมีความเสี่ยงในการปฏิบัติเงื่อนไข  ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ เชื่อมั่นว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายและจะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้อุตสาหกรรมเกษตรไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน ตลอดจนยกระดับขบวนการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพและมาตรฐานตามที่ตลาดภายในและต่างประเทศต้องการ
 
 
ทั้งนี้  ในรอบ 7 เดือนที่กฎหมายได้ประกาศใช้   กระทรวงเกษตรฯได้ใช้อำนาจกฎหมายในการเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการประสบความสำเร็จในหลายกรณี  พร้อมทั้งจะเข้มงวดในการเข้าไปตรวจสอบการทำสัญญาใหม่ระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด  รวมทั้งได้ทำจดหมายเวียนไปยังผู้ประกอบการทั่วประเทศที่มีความสนใจในการทำธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญาให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายเกษตรพันธสัญญาอย่างเข้มงวด เช่น ต้องจัดทำเอกสารสำหรับการชี้ชวนก่อนการทำสัญญา หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกำหนดบทลงโทษปรับไม่เกิน3แสนบาทหรือแล้วแต่กรณี หากผู้ประกอบการมีพฤติกรรมเอาเปรียบเกษตรกรอย่างไม่เป็นธรรมและคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ทางราชการประกาศรายละเอียดของการฝ่าฝืนหรือพฤติกรรมของผู้ประกอบการดังกล่าวต่อสาธารณชนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาในอนาคต
 
 
“ ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ยังอยู่ระหว่างประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำธุรกิจเกษตรพันธสัญญาคาดว่าหลังประกาศใช้กฎหมาย 1ปีจะได้ตัวเลขที่ชัดเจนอีกด้วย”  นายพีรพันธ์    กล่าว
 
ที่มา : บ้านเมือง วันที่ 10 พ.ค. 2561