คดีคิดค่าเสียหายทำให้โลกร้อนกับเกษตรกร

Created
วันพฤหัสบดี, 31 พฤษภาคม 2555
Created by
สมจิต คงทน
Categories
วาระโลกร้อน
 

ส 

คดีคิดค่าเสียหายทำให้โลกร้อนกับเกษตรกร

การดำเนินคดีคิดค่าเสียหายกับเกษตรกรรายย่อย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2548 เมื่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ทส.0903.4/14374 ลงวันที่ 6 กันยายน 2548 ถึงสำนักงานอัยการสูงสุดจังหวัดพัทลุงเพื่อแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการคิดคำนวนค่าเสียหายพื้นที่ป่าต้นน้ำ

ปัจจุบันมีจำนวนเกษตรกรในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ถูกกรมอุทยานฯฟ้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 23 ราย แบ่งเป็นภาคใต้จังหวัดพัทลุงและตรัง 20 รายภาคเหนือ 2 ราย และภาคอีสาน 1 ราย เป็นมูลค่าความเสียหายที่เรียกเก็บกับชาวบ้านทั้งสิ้นกว่า 38 ล้านบาท โดยผู้ที่ถูกเรียกค่าเสียหายจำนวนมากที่สุดคือนายทิน หนูเรือง  5.1 ล้านบาท รองลงมาคือ นายวิโรจน์ สว่างรัตน์ จำนวน 4.42 ล้านบาท  ทั้งสองรายเป็นสมาชิกของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด

สำหรับความคืบหน้าของคดีทั้งหมดในขณะนี้ ศาลได้สั่งบังคับคดียึดทรัพย์จำนวน 9 ราย กำลังอุธรณ์ 1 ราย กำลังดำเนินคดีแพ่ง 4 ราย และมีหนังสือเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 9 ราย   โดยกรมอุทยานฯได้ฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมพ.ศ 2535 มาตรา 97 ระบุว่า “กำหนดให้ผู้ใดที่กระทำผิดหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลาย หรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายสูญหายหรือเสียไปแล้ว” ซึ่งในการคิดคำนวนค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการบุกรุกทำลายพื้นที่อุทยานแห่งชาติมีรายละเอียดดังนี้

1)การทำให้สูญหายของธาตุอาหารคิดเป็นมูลค่า 4,064 บาทต่อไร่ต่อปี   : เป็นการคิดค่าใช้จ่ายในการซื้อแม่ปุ๋ยไนโตรเจน,ฟอสฟอรัสและโพแทสเซี่ยมขึ้นไปโปรยทดแทน

2)ทำให้ดินไม่ดูดซับน้ำฝน 600 บาทต่อไร่ต่อปี

3)ทำให้น้ำสูญเสียออกไปจากพื้นที่โดยการแผดเผาของดวงอาทิตย์ 52,800 บาทต่อไร่ต่อปี : คำนวนจากการเปลี่ยนแปลงความสูงของน้ำจาก 3 ส่วนคือน้ำที่ดินไม่ดูดซับ น้ำจากการคายระเหย และฝนตกน้อยลงคิดเป็นปริมาตรน้ำทั้งหมดต่อพื้นที่ 1 ไร่ แล้วคิดเป็นค่าจ้างเหมารถบรรทุกเอาน้ำไปฉีดพรมในพื้นที่เดิม

4)ทำให้ดินสูญหาย 1,800 บาทต่อไร่ต่อปี :คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรทุกดินขึ้นไปและปูทับไว้ที่เดิม

5)ทำให้อากาศร้อนมากขึ้น  45,453.45 บาทต่อไร่ต่อปี  : คิดคำนวนจากปริมาตรของอากาศในพื้นที่ที่เสียหายเอามาคูนด้วยความหนาแน่น (1.153x10-3ตันต่อลูกบาศก์เมตร) เพื่อหามวลของอากาศ แล้วใช้มวลหาปริมาณความร้อนที่ต้องปรับลด หลังจากนั้นเอาจำนวน B.Th.U ของเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตัน (3,024,000แคลอรี่ต่อชั่วโมง)มาหารเพื่อจะได้รู้ว่าต้องใช้เครื่องปรับอากาศเท่าไหร่ แล้วคิดค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเดินเครื่องปรับอากาศเพื่อให้อุณหภูมิของอากาศเย็นลงเท่ากับพื้นที่ที่มีป่าปกคลุม

6)ทำให้ฝนตกน้อยลง 5,400 บาทต่อไร่ต่อปี

7)มูลค่าความเสียหายทางตรงจากป่าสามชนิด คือ

7.1)การทำลายป่าดงดิบค่าเสียหายจำนวน 61,263.36 บาท

7.2)การทำลายป่าเบญจพรรณ ค่าเสียหายจำนวน 42,577.75 บาท

7.3)การทำลายป่าเต็งรัง ค่าเสียหายจำนวน 18,634.19 บาท

และเพื่อนำค่าเฉลี่ยของมูลค่าความเสียหายทางตรงจากป่าสามชนิด(ตามข้อ7.1-7.3)  ของผลผลิตในรูปของเนื้อไม้และของป่ามีค่าเท่ากับ 40,825.10 บาทต่อไร่ต่อปี มารวมกับมูลค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม(ข้อ1-6) จำนวน 110,117.60 บาทต่อไร่ต่อปี รวมมูลค่าทั้งหมดเท่ากับ 150,942.70 บาท แต่เพื่อความสะดวกกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชคิดค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาทต่อไร่ต่อปี

ส่วนวิจัยต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และการจัดการน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้พัฒนาวิธีประเมินมูลค่าของป่าต้นน้ำ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับรายได้ที่เป็นผลลัพธ์ของโครงการต่างๆที่ขอเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าต้นน้ำ และอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งเพื่อสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง จากผู้กระทำความผิดบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำ  ซึ่งจะใช้หลักการ 2 หลักการ หลักการแรกคือถ้าไม่มีป่าแห่งนี้แล้วประชาชนจะสูญเสียผลประโยชน์อะไรบ้างโดยนำประโยชน์ที่ป่าต้นน้ำให้บริการกับประชาชนมาทำการวิเคราะห์และพิจารณา หลักการที่สองคือการสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์ เพื่อประเมินมูลค่าของป่าต้นน้ำนั้นจะต้องเป็นแบบจำลองที่เป็นสากลสามารถใช้กับทุกพื้นที่ด้วยข้อมูลที่เก็บวัดได้ง่ายและสะดวกในการใช้สำหรับประชาชนในท้องถิ่น

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีความเห็นมากมายจากนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกฎหมาย หลังจากกรมอุทยานฯได้ออกมาชี้แจงถึงสูตรการคิดคำนวนเป็นค่าปรับที่นำมาใช้กับเกษตรกร ว่าไม่อยากให้กรมอุทยานฯนำแบบจำลองนี้ไปใช้  เพราะจะสร้างความไม่เป็นธรรมโดยเฉพาะกับกลุ่มชาวไร่ชาวนา  แบบจำลองคิดค่าเสียหายเป็นคิดแบบมุมเดียว ความเสียหายที่คิดว่าก่อให้เกิดโลกร้อนนั้นขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยของประเทศใดในโลกรับรองกันว่าเป็นงานที่สมบูรณ์และสามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ และถ้านำมาใช้จะทำให้ผู้คนได้รับความเดือดร้อนมาก รวมถึงอยากให้กรมอุทยานเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีนายกรัฐนมตรีเป็นประธานพิจารณาหาข้อสรุป   ในขณะนี้ประเทศไทยมีอัตราปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ในราว 0.8% ของทั้งโลก

 ดังนั้นการโยงมาหาคนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่น้อยมากอย่างนี้จึงเกิดเป็นคำถาม เพราะปัญหาป่าไม้ที่ดินมีการสะสมมานานมีทั้งกรณีที่ชาวบ้านบุกรุกป่าและกฎหมายบุกรุกคน การเอาความยุ่งยากเรื่องโลกร้อนมา ทำให้ชาวบ้านลำบากหนักไปกว่าเดิม ซึ่งในระดับโลกมีจุดยืนที่เป็นทิศทางหลักว่าปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดความเสียหายนี้มาจากประเทศอุตสหกรรมที่พัฒนาแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นต้องไปเรียกร้องที่คนตรงนั้น

นางกำจาย ชัยทอง เกษตรกรบ้านคอกเสือ ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหา“ก่นสร้าง แผ้วถาง ยึด ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ” บนเนื้อที่ 8-2-85 ไร่ และต่อมากรมอุทยานฯได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทลุง ถูกพิพากษาตัดสินมีความผิดในข้อหา บุกรุก มีโทษจำคุก 2 ปี ให้รอลงอาญาและปรับ 20,000 บาท  และทางกรมอุทยานฯยังได้ฟ้องร้องทางแพ่งและคิดค่าเสียหายรวมทั้งดอกเบี้ย 1,672,740 บาท ศาลตัดสินสั่งให้นางกำจาย ชำระค่าเสียหายเมื่อวันที่ 27 ต.ค พ.ศ 2549 

นางกำจายกล่าวว่า “เธอไม่ยอมรับเรื่องที่ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ทำให้โลกร้อน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เกษตรกรรมใช้เพื่อการเพาะปลูกมามากกว่า 100 ปี มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินตามประกาศของสภาตำบลมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับทุนจากสำนักงานสงเคราะห์สวนยางขออนุมัติโค่นต้นยางเก่า เพื่อปลูกใหม่ทดแทน รวมทั้งที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ ย่ามาหลายชั่วอายุคน”

การดำเนินคดีคิดค่าเสียหายทำให้โลกร้อน กับเกษตรกร คงมีประมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน เนื่องจากมีผลการศึกษาของส่วนวิจัยต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำกรมอุทยานฯ พบว่ามูลค่าความเสียหายของระบบนิเวศจากการบุกรุกยึดถือครอบครองและใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า ที่มีสภาพเป็นป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์มีมูลค่าเท่ากับ 150,000 บาทต่อไร่ พื้นที่ป่าไม้ที่มีสภาพเป็นธรรมชาติเสริมโทรม พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้นเศรษฐกิจ พื้นที่ปลูกไม้ผลที่มีระบบรากลึก มีมูลค่าเท่ากับ 82,500 บาทต่อไร่ พื้นที่ป่าไม้ที่มีสภาพเป็นสวนผลไม้ที่มีระบบรากตื้นมีมูลค่าเท่ากับ 53,900 บาทต่อไร่ และพื้นที่ป่าไม้ที่มีสภาพเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่ ไร่ร้าง พื้นที่โล่งเตียน มีมูลค่าเท่ากับ 35,200 บาทต่อไร่

ความจริงแล้ววิธีการคิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นการคุมกำเนิดการหรือละเมิดสิทธิการดำรงชีพของเกษตรกรในสังคมไทยหรือไม่  เพราะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในการทำมาหากินอย่างปกติสุข บางคนที่โดนคดีต้องออกมาทำอาชีพรับจ้าง บางคนครอบครัวต้องแตกแยกที่ไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ และมีข้อสังเกตบางประการว่า สูตรการคิดคำนวนค่าเสียหายที่ทำให้โลกร้อนใช้ปฎิบัติกับชาวบ้านที่ทำกินมาก่อนการประกาศเขตอุทยาน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์ระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานของรัฐ ฉะนั้นยังไม่สามารถนำข้อหาโลกร้อนมาฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้านได้ 

อีกทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาจะทำได้จริงในทางปฏิบัติหรือไม่เช่น การที่อากาศร้อนขึ้น ต้องใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อให้อุณหภูมิของอากาศเย็นลงเท่ากับพื้นที่ที่มีป่าปกคลุม หรือการทำให้น้ำสูญเสียออกไปจากพื้นที่โดยการแผดเผาของดวงอาทิตย์ โดยการจ้างเหมารถบรรทุกเอาน้ำไปฉีดพรมในพื้นที่เดิม ทางกรมอุทยานฯ จึงต้องคิดและใคร่ครวญถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเกษตรกรและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติโดยรวมด้วย

 

โดย สมจิต คงทน

 

 

 

กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน

 

19 พฤษภาคม 2010

 

เอกสารอ้างอิง

 

 

1.เอกสารเผยแพร่ “หลักเกณฑ์การคิดคำนวนค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมจากการทำลายป่าต้น้ำที่ไม่สมบูรณ์   โดย ดร.พงษ์ศักดิ์ วิทวัสชุติกุลและวารินทร์ จิระสุขทวีกุล

 

 

2.เอกสารสัมมนาวันที่14ส.ค2552 “การคิดค่าเสียหายจากการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” โดย คณะทำงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังแห่งชาติ

 

3.กรณีศึกษา “คือทั้งชีวิตและความทรงจำการต่อสู้เพื่อที่ดินของนางกำจาย ชัยทอง ” เรียบเรียงโดย นายจรัส บุญรักษ์