ข้อเสนอต่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

Created
วันพฤหัสบดี, 11 สิงหาคม 2554
Created by
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
Categories
นโยบายและกฎหมาย
 

ข้อเสนอต่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

กระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม

ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดินทั้งระบบ  

โดย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย

             ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรที่ดิน มีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เพราะที่ดินมีจำกัด ประชากรเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การบริหารจัดการที่ดินของรัฐเพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็น ธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยหากประมวลสถานการณ์ปัญหาการจัดการที่ดินในสังคมไทย จะพบ   5 ประเด็นหลัก ที่กำลังส่อเค้าความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากไม่เร่งแก้ไขปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดิน เพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม

           ประการแรก  ที่ดินกระจุกตัว  แม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหามาโดยตลอดหากไม่ประสบผล โดยจะพบว่า พื้นที่ประเทศไทย 320 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ป่าไม้ 100 ล้านไร่ ส่วนอีก 130 ล้านไร่เป็นพื้นที่การเกษตร พื้นที่ทั้งหมดเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ของคนไทยทุกคน หากได้รับการจัดสรร แบ่งปัน และกระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม แต่พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 90 %ถือครองที่ดินไม่ถึง 1 ไร่ขณะที่ประชาชนจำนวนเพียง 10 % ถือครองที่ดิน มากกว่า 100 ไร่

           นอกจากนี้ยังพบว่า มีที่ดินจำนวนมากที่ถูกปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ จากข้อมูลการวิจัยของมูลนิธิสถาบันที่ดินแห่งประเทศไทย ปี 2544 พบว่า 70 % ของที่ดินที่มีการถือครองในประเทศไทยถูกปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ หรือใช้ประโยชน์ไม่ถึง 50 % ประเมินความสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ 127,000 ล้าน บาทต่อปี

            ในขณะที่ข้อมูลจากการจดทะเบียนคนจนของกระทรวงมหาดไทยระบุว่า มีประชาชนมาลงทะเบียนว่าตนเองมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยนับ รวมได้ 4.2 ล้านปัญหา แบ่งเป็นคนไม่มีที่ดินเลย 1.3 ล้านคน มีที่ดินทำกินอยู่บ้างแต่ไม่พอทำกินแม้ในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง 1.6 ล้านคน ขอเช่าที่ดินรัฐและครอบครองที่ดินรัฐอยู่ 3 แสนคน รวมแล้วมีเกษตรกรและคนไร้ที่ดินในสังคมไทยทีมีปัญหาที่ดินทำกินไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านครอบครัว

จะพบว่าจากการสำรวจและการวิจัยเรื่องที่ดินจากทุกสถาบันโชว์ทุกครั้งว่า ปัญหาที่ดิน เป็นปัญหาที่เกษตรกรทั่วประเทศเห็นว่าสำคัญ และวิกฤตสำหรับเกษตรกรไทย แต่รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ มีเพียงมาตรการสำรวจและศึกษาวิจัยต่อไป โดยไม่มีมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม

ประการที่สอง  การถือครองที่ดินของเอกชน   ไม่เพียงปัญหาความล้มเหลวในการกระจายการถือครองที่ดิน หากยังรวมถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการการถือครองที่ดินของเอกชน โดยจะพบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ บุคคลและนิติบุคคลจำนวน 50 รายแรก ถือครองที่ดินเป็นจำนวนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด จากจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการมากกว่า 5.7 ล้านคน หรือหากพิจารณาจากจำนวนถือครองที่ดินของชนชั้นนำในสังคมไทยที่มีการเปิดเผย สู่สาธารณะจะพบว่ามีการถือครองที่ดินเป็นจำนวนมาก ดังปรากฏอย่างชัดเจนในหมู่นักการเมืองที่ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน รวมถึงข้าราชการระดับสูงที่ไม่ปรากฏข้อมูลต่อสาธารณะแต่ก็เป็นที่คาดหมายได้ ว่ามีแนวโน้มในลักษณะเช่นเดียวกัน

          ข้อมูลดังกล่าวตรงกันข้ามกับการถือครองที่ดินของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ต้องใช้ที่ดินเป็นฐานทรัพยากรสำคัญในการผลิตอาหาร และสร้างรายได้เพื่อดำรงชีพ ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าในปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยไม่มีที่ดินเป็นของตนเองไม่ น้อยกว่า  811,892 ครอบครัว และในส่วนที่ต้องเช่าที่ดินทำกิน มีจำนวนไม่น้อยกว่า  1.5  ล้านครอบครัว รวมทั้งข้อมูลการสูญเสียที่ดินทำกินของเกษตรกรรายย่อยที่ทวีความรุนแรงเพิ่ม มากขึ้น

          ข้อมูล ดังกล่าวสะท้อนถึงโครงสร้างการถือครองที่ดินที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินและการสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกร

            ประการที่สาม  ข้อขัดแย้งในที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ  จะพบว่าในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ผิดกฎหมาย ในหลายกรณีทั้งในที่ดินเกษตรกร ที่ดินที่ชุมชนใช้ประโยชน์อยู่ เช่น ที่ป่าชุมชน ที่สาธารณประโยชน์ และที่ ส.ป.ก. ที่ดินที่ถูกออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบเหล่านี้ ต่อมาได้ถูกนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ กลายเป็นหนี้เน่า NPL ถูกธนาคารฟ้องร้องยึดและขายทอดตลาด กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เมื่อประชาชนมีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ดินที่เป็นรูปธรรม โดยการเข้าทำกินปฏิรูปการถือครองโดยประชาชน รัฐและเจ้าของที่ดินเอกชนเหล่านั้นได้ใช้อำนาจทางกฎหมายกับคนจนไร้ที่ดิน ด้วยการฟ้องร้อง จับกุม ดำเนินคดีความ

        ประการที่สี่   ข้อขัดแย้งในที่ดินรัฐโดยเฉพาะในพื้นที่ป่า  ความขัดแย้งในพื้นทีป่าไม้ระหว่างรัฐกับเกษตรกรเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้และภาคอีสาน  ที่รัฐได้ประกาศเขตป่าอนุรักษ์ เขตป่าสงวนและที่สาธารณะทับซ้อนบนพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ที่สาธารณประโยชน์และที่ป่าชุมชนของชาวบ้าน ก่อให้เกิดกรณีพิพาทความขัดแย้งเรื่องสิทธิ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และชาวบ้าน ซึ่งกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินและการแก้ไขปัญหายังถูกรวมศูนย์อยู่ที่ ภาครัฐ โดยขาดการตรวจสอบจากองค์กรอิสระและองค์กรประชาชน

          ปัจจุบันรัฐบาลได้ใช้อำนาจทางกฎหมายทีแข็งกร้าวมากขึ้น นอกจากฟ้องร้องคนจนในคดีอาญาแล้ว ยังฟ้องร้องเพิ่มในคดีแพ่งเรียกร้องให้คนจน จ่ายค่าเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมให้กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช  คนละ 1-5 ล้านบาท แม้ว่าคนจนเหล่านั้นจะทำกินตามวิถีเกษตรกรเท่านั้น

          นอกจากนี้ยังพบว่า ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ รัฐได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนสัมปทานเช่าพื้นที่ป่าสงวนระยะยาวเพื่อทำกิจการ เหมืองแร่ ปลูกพืชเศรษฐกิจ ยูคาลิปตัส ยางพารา และปาล์มน้ำมัน เมื่อเอกชนใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าเกินกว่าสัญญาเช่า หรือสัญญาเช่าหมดลง คนจนไร้ที่ดินเรียกร้องให้รัฐหยุดสัญญาเช่าแต่ไม่เป็นผล เมื่อประชาชนมีมาตรการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยการเข้าทำกินปฏิรูปที่ดินการถือครองโดยประชาชน รัฐได้ใช้อำนาจทางกฎหมาย โดยการจับกุมดำเนินคดี ด้วยข้อหารุนแรง 

            ประการที่ห้า ที่ดินคนจนเมือง ในขณะที่ชุมชนสลัมกว่า 3,700 ชุมชน ทั่วประเทศ อยู่ในภาวะสั่นคลอน ไม่ได้ถูกรับรองและไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย อยู่ในสภาพที่จะถูกไล่รื้อจากหน่วยงานภาครัฐ และบริษัทธุรกิจเอกชน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักประกันในความมั่นคงต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ชุมชนหลายแห่งต้องเผชิญกับสภาพการถูกฟ้องร้อง ดำเนินคดีจากเจ้าของที่ดินเอกชน หรือแม้แต่จากหน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องการขับไล่ชุมชนออกจากที่ดินดังกล่าว

            ในขณะที่ชุมชนอีกหลายแห่ง ที่อยู่อาศัยคนยากจนต้องประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา หรือต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา ในราคาที่แพงกว่าประชาชนทั่วไป เนื่องจากถูกกีดกัน ไม่ได้รับสิทธิในการมีทะเบียนบ้านถาวรจากหน่วยงานภาครัฐ

รากฐานของปัญหา

         ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรที่ดินดังกล่าวล้วนเกิดขึ้นจากรากฐานเดียวกัน ดังนี้คือ

            1.การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในสังคมไทยที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการการปฏิรูปโครงสร้างการถือครองที่ดินและการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดินเพื่อนำสู่การกระจายอำนาจและการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมที่ผ่านมาภาครัฐมุ่งเน้นการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับภาคเอกชนและเกษตรกร และการประกาศเขตพื้นที่ป่าเพิ่มซึ่งนอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ดินและการบุกรุกป่าได้แล้วยังก่อให้เกิดปัญหาข้อพิพาทที่ดินตามมาอีกจำนวนมาก

          2. สังคมไทยไม่มีกฎหมายจำกัดการถือครองที่ดิน ใครรวยก็มีสิทธิซื้อที่ดินจำนวนเท่าไรมาถือครองไว้ก็ได้ จะซื้อครึ่งหรือค่อนประเทศก็ไม่มีใครจำกัดสิทธิได้ ในขณะที่คนจนจะสูญเสียที่ดินและไร้ที่ดินทำกินจำนวนกี่ล้านครอบครัวก็ได้ รัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจในทางบริหารและอำนาจในทาง

          3. สังคมไทยไม่มีกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ซึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมายที่สำคัญ ที่จะทำให้คนที่ถือครองที่ดินจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง ในระดับที่ไม่สามารถเก็บที่ดินไว้เพื่อการเก็งกำไรและต้องขายออกมา ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถช้อนซื้อที่ดินเหล่านั้นเพื่อนำมาปฏิรูปจัดสรรให้กับ เกษตรกรที่ต้องการที่ดินทำกิน

          4. กฎหมายที่ดิน ป่าไม้ และการประกาศเขตพื้นที่ป่าของรัฐ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานการเคารพในสิทธิของชุมชนท้องถิ่น การดำรงอยู่ของชุมชนเกษตรกร วัฒนธรรมของชุมชนอันหลากหลาย สืบเนื่องและเป็นรากฐานของวิถีเกษตรกรรมในสังคมไทยมายาวนาน เมื่อกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม และยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กรณีพิพาทความขัดแย้งเรื่องที่ดินจึงเกิดขึ้นจำนวนมาก

          5. การปฏิรูปที่ดินของรัฐที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์กฎหมายปฏิรูปที่ดิน ปี 2518 ที่ ต้องการให้รัฐใช้อำนาจ มาตรการทางกฎหมายและมาตรการต่างๆ นำที่ดินที่ถือครองโดยเอกชน มากระจายให้กับคนจนไร้ที่ดิน แต่กลับเบี่ยงเบนประเด็นไปที่การจัดสรรที่ป่าสงวนแห่งชาติให้กับภาคเอกชน

          6. สังคมไทยไม่มีช่องทาง กลไก สถาบัน ที่เปิดโอกาสให้คนไร้ที่ดินและไร้ที่อยู่อาศัย เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรที่ดินร่วม กับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเกิดความเป็นธรรม การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและข้อขัดแย้งในพื้นที่ป่า รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่หน่วยงานภาครัฐ ส่งผลให้เกิดการคอรัปชั่น ขาดการตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจตามที่ควรจะเป็น

 หลักการสำคัญของการกระจายการถือครองที่ดิน

  • ที่ดินคือสวัสดิการสังคม ที่รัฐต้องจัดให้เกษตรกรทุกคน บนพื้นฐานความเป็นธรรมที่ว่า ที่ดินไม่ใช่สินค้า หากคือทรัพยากรเพื่อการผลิตอาหารที่สำคัญของสังคม สังคมจึงต้องมีการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม ให้คนจนและเกษตรกรรายย่อยมีที่ดินเป็นของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงในที่อยู่อาศัยให้กับคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
  • รัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรรายย่อยและคนยากจน การคุ้มครองสิทธิและอิสรภาพในการดำรงชีวิต การตั้งถิ่นฐาน การอยู่อาศัย การทำมาหากิน การได้รับสิทธิในการพัฒนาของเกษตรกรรายย่อยและคนจน โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม มิใช่การยึดตามตัวบทกฎหมายที่ขัดแย้งกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม จารีตประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น
  • ที่ดินรัฐ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ที่ดินเอกชนที่กักตุนไว้เพื่อเก็งกำไร มีเจ้าของแต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ คือตัวบ่งชี้ความไม่เป็นธรรมในการถือครองที่ดิน ควรถูกมาใช้ในการผลิต กระจายและจัดสรรให้มีประโยชน์ต่อเกษตรกรไร้ที่ดิน และคนจนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมต่อการใช้ที่ดิน
  • รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 85 แห่งรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ส่วนที่ 8 ด้านที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่กระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม และดำเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่ว ถึง โดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น

แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดิน เพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม

            การแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรที่ดินจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยพรรคการเมืองทุกพรรคควรกำหนดปัญหาที่ดินเป็นวาระเร่งด่วน เพราะหากไม่เร่งปฏิรูปโครงสร้างการถือครองที่ดิน ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินและความขัดแย้งของคนในสังคมจะรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยรวมของสังคม ความมั่นคงด้านอาหารและที่อยู่อาศัยของคนส่วนใหญ่ของประเทศในอนาคต

แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างการถือครองทีดินและการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดิน มีดังนี้คือ

1.การออกกฎหมายโฉนดชุมชน การออกกฎหมายการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน หมายความถึงการปรับโครงสร้างการจัดการที่ดินในสังคมไทย โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินร่วมกับหน่วย งานภาครัฐ เพื่อความโปร่งใส กระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรที่เคยรวมศูนย์ และเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทในที่ดินรัฐที่ยังไม่มีแนวทางการแก้ไข

กฎหมาย โฉนดชุมชนควรมีหลักการที่สำคัญคือการเคารพในการดำรงอยู่ของชุมชนเกษตรกร และวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น กระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรจากรัฐสู่ประชาชน คุ้มครองพื้นที่ชุมชนให้เป็นพื้นที่เพื่อการเกษตรกรรม และคุ้มครองสิทธิเกษตรกรรายย่อยให้สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน การประกันรายได้และราคาผลผลิตที่เป็นธรรม กองทุนชดเชยจากภัยธรรมชาติและกองทุนการช่วยเหลือด้านต่างๆ อย่างเท่าเทียม

2.การจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทุนธนาคารที่ดิน กองทุนธนาคารที่ดินคือกองทุนหลักประกันการเข้าถึงที่ดินของคนจนและคนไร้ ที่ดินทั่วประเทศ ส่วนกองทุนที่ดินชุมชนคือกองทุนหลักประกันการคุ้มครองพื้นที่ชุมชนให้เป็น พื้นที่เกษตรกรรมตลอดไป กองทุนที่ดินเหล่านี้จะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ หากไม่มีการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐเข้ามาดำเนินการ

พรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ควรจัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนธนาคารที่ดิน เพื่อให้กองทุนนี้ เป็นกลไกในการจัดซื้อที่ดินจากภาคเอกชน ที่ไม่ต้องการใช้ประโยชน์ หรือทำหน้าที่เจรจาขอใช้ที่ดินจากหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อนำที่ดินมาจัดสรรและกระจายให้กับคนไร้ที่ดินได้ใช้ประโยชน์อย่างเหมาะ สมต่อไป โดยการจัดซื้อที่ดินจากภาคธุรกิจเอกชน ที่ดิน NPL ควรเจรจาขอซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน เพื่อประโยชน์ในทางสาธารณะของสังคม 

เนื่องจากปัจจุบันมีเกษตรกรยากจนที่ไร้ทีทำกินถึง 1.5 ล้านคน หากจะจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรเหล่านี้ได้ทั้งหมด จะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ เจ็ดแสนล้านบาท และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่ดินเป็นไปได้จริง พรรคการเมืองควรจัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนธนาคารที่ดินปีละ 100,000 ล้านบาท

3.การจัดเก็บภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เพื่อสร้างกลไกและเงื่อนไขให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นจริง ควรมีการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราที่ก้าวหน้าตามขนาดการถือครองที่ดิน ตามมูลค่าของที่ดิน และตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

การจัดเก็บภาษีที่ดิน ควรจัดเก็บในที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์ ทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่าเป็นเวลานานในอัตราภาษีที่สูงกว่าที่ดินที่มีการนำ ที่ดินไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และควรมีการยกเว้นภาษีให้กับผู้ที่มีที่ดินถือครองในมูลค่าน้อยหรือเกษตรกร ที่ยากจน เพื่อไม่ให้ภาระภาษีตกแก่กลุ่มคนที่มีฐานะยากจนและต้องอาศัยที่ดินเป็น ปัจจัยการผลิตเพื่อดำรงชีพ

4.การจำกัดการถือครองที่ดิน การจำกัดการถือครองที่ดินคือการสร้างบรรทัดฐานความเป็นธรรมในการถือครอง ที่ดินให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยข้อเท็จจริงของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่ว่า เกษตรกรไทยจำนวนมากกำลังประสบกับภาวะการสูญเสียที่ดินทำกิน โดยที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไข ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังกว้านซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อนำที่ดินมากักตุน และเก็งกำไร โดยที่ไม่มีปัจจัยควบคุม  การกำหนดแนวทางการจำกัดการถือครองที่ดินในสังคมไทย จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางโครงสร้างการบริหารจัดการที่ดิน ทิศทางการพัฒนาและการเติบโตของภาคเกษตรกรรมที่คำนึงถึงการดำรงอยู่ของ เกษตรกรรายย่อยในภาคเกษตรกรรมไทย

5.การแก้ไขปัญหาคดีความคนจน

เพื่อ ให้การแก้ไขปัญหาคดีความสอดคล้องกับการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดิน เจตนารมณ์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนจนและเกษตรกรรายย่อย พรรคการเมืองควรกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานภาครัฐดังนี้

  • คดีพิพาทเรื่องที่ดิน การจัดการทรัพยากรและสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นคดีอาญาอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุติคดีมีคำสั่งไม่ฟ้อง
  • คดีพิพาทเรื่องที่ดิน การจัดการทรัพยากรและสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นคดีแพ่งอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลหรือศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการถอนฟ้อง งดการบังคับคดี หรือถอนการบังคับคดีแล้วแต่กรณี
  • คดี พิพาทที่ยังไม่มีการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมและกรณีการใช้อำนาจทาง ปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบงดการดำเนินคดีหรือเพิกถอนคำสั่งทางปกครองไว้ จนกว่ากระบวนการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการที่ดินของรัฐบาลจะแล้วเสร็จ
    • คดีพิพาทที่ อยู่ในชั้นพิจารณาของศาล ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ต้องต่อสู้คดี ทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับศาล การประกันตัว ทนายความ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปมาศาลของชาวบ้าน รวมทั้งให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงกองทุนยุติธรรม ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการช่วยเหลือผู้ถูกคดีของกระทรวงยุติธรรมได้โดยง่าย

6.การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โครง สร้างกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อโครงสร้างการจัดการที่ดินและข้อพิพาทระหว่างประชาชน กับภาครัฐและนายทุน เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรที่ดินที่ยั่งยืนและเป็นธรรม พรรคการเมืองควรมีนโยบายปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมดังนี้

  • ปรับปรุงประมวลกฎหมายที่ดินป่าไม้ให้มีเอกภาพ และวางหลักการของกฎหมายเพื่อให้เกิดความยุติธรรม จัด ทำหลักเกณฑ์การกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เกิดความเป็นธรรมทางนิเวศควบคู่กับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
    • ให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับสิทธิชุมชนในการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อเป็นประโยชน์แก่อัยการและศาลในการพิจารณาคดีที่ดินป่าไม้ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชน
    • จัดตั้งหน่วยงานพิเศษในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวกับดินป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะ มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
    • มีศาลพิเศษด้านที่ดินป่าไม้
    • จัดทำกฎหมายวิธีพิจารณาคดีที่ดินป่าไม้เพื่อให้การพิจารณาคดีมีมาตรฐาน เป็น กระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว สะดวก และประหยัด ใช้วิธีการพิจารณาคดีที่หลากหลาย การเดินเผชิญสืบ การนำระบบไต่สวน ที่ยึดโยงกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมชุมชน มาประกอบการตัดสินคดี  การพิจารณาจากหลักฐานบุคคลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  การเจรจาไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง  ตลอดจนให้มีการกลั่นกรองคดีในระดับชุมชนก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางศาล
    • พัฒนาระบบการฟ้องคดีสาธารณะโดยให้ ประชาชนสามารถฟ้องคดีได้ และรัฐฟ้องคดีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนหรือชุมชนตื่นตัวต่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของส่วนรวมมากขึ้น

ข้อเสนอรูปธรรมแนวทางการนำที่ดินรัฐมากระจายการถือครองสู่ประชาชน

1.ให้ นำที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ที่หมดสัญญาเช่าหรือหมดระยะการอนุญาตให้นายทุนทำประโยชน์มาปฏิรูปที่ดินให้ เกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน รวมทั้งรับรองสิทธิในหลักการของโฉนดชุมชนหรือระบบการถือครองปัจจัยการ ผลิต/ที่ดินร่วมกันขององค์กรชุมชน (ยกตัวอย่างกรณีจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีที่ดินดังกล่าว 38 แปลงจำนวนกว่า 68,500 ไร่ที่หมดสัญญาแล้ว)

2.เร่งนำที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ที่ดิน สปก.) ซึ่งนายทุนบุกรุกครอบครองทำการเกษตรรายใหญ่มายาวนานกว่า 25 ปี มาสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดิน(กระจายการถือครองและรับรองให้เป็นสิทธิร่วมของชุมชน)

3.ให้นำที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในการครอบครองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(ออป.) ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ 900,000 ไร่ ทั่วประเทศเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรยากจน

4.กรณีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่นายทุนการเกษตรรายใหญ่ครอบครองมากกว่า 200 ไร่ ให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องทางกฎหมายของการครอบครองที่ดิน

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย

8 สิงหาคม 2554