ความสุขที่บ้านนอก ภูมิคุ้มกันยุคโควิด-19

Created
วันพุธ, 17 มิถุนายน 2563
Created by
ณัฎฐวี สายสวัสดิ์
Categories
บทความ
 

Covid19Protection

ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมและวัฒนธรรม  การท่องเที่ยว  การสาธารณสุข  ฯลฯ  แต่ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่คือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจฐานราก วิกฤติภาคแรงงาน ตัวเลขจากสภาพัฒน์ประเมินว่ามีแรงงานในระบบที่ถูกเลิกจ้างและตกงานจากภาวะโควิด-19 ประมาณ 8.4 ล้านคน ทั้งนี้ยังไม่รวมแรงงานนอกระบบที่ไม่มีหลักประกันและสวัสดิการรองรับ การถูกเลิกจ้างงานของแรงงานส่วนใหญ่ที่มาจากชนบท ไม่เพียงไม่มีรายได้มาเลี้ยงชีพของตนเอง แต่ยังหมายถึงไม่มีรายได้ส่งกลับไปจุนเจือและดูแลครอบครัวในชนบท 

ดังนั้นเมื่อรัฐบาลประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน จึงเห็นภาพแรงงานในเมืองจำนวนมากต่างมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านที่ชนบท  ส่งผลให้การจราจรขาออกเกิดความหนาแน่นและติดขัด  การแย่งชิงกันเดินทางกลับบ้านนอกเป็นสาระสำคัญว่า  บ้านนอกหรือชนบทยังสามารถเป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดในภาวะปัญหาอันหนักหน่วงเช่นนี้หรือไม่   

ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ไขเยียวยาปัญหาให้กับประชาชนหลายๆ ช่องทาง   โครงการเยียวยา “เราไม่ทิ้งกัน”  ที่ช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ และโครงการ “เยียวยาเกษตรกร” ซึ่งหากมองรอบด้านก็เป็นทั้งดาบสองคมในฝักเดียวกัน  คนที่ได้รับสิทธิอาจเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์ยากอะไรเลย  เพียงแค่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี จึงทำให้ได้รับสิทธิในการเยียวยา  ส่วนคนจนที่ตกขอบของสวัสดิการแห่งรัฐก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสิทธิเหล่านี้ได้  แต่ถึงแม้จะเป็นนโยบายที่ออกมาช่วยเยียวยา  ก็คงจะเป็นกิจกรรมระยะสั้นที่ไม่ยั่งยืน  โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดียวเพียงอย่างเดียว  และไม่เคยได้สร้างฐานอาหารของครอบครัวเอาไว้  เงินช่วยเหลือจะเป็นแค่เพียงที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำค่าไฟ  ค่ากินอยู่เท่านั้นเองที่ใช้แล้วก็หมดไป

การเกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19   ในประเทศไทยและทั่วโลก  ทำให้เราค้น่พบว่าการน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเกษตร  การเมือง  หรือการดำเนินธุรกิจ  มาเป็นแนวทางหลักที่สามารถทำให้เราฝ่าวิกฤติไวรัสโควิด-19  ได้อย่างแท้จริง  จะเห็นได้จากภาวะการไหลตัวออกจากเมืองเพื่อไปสู่ชนบท  ที่เป็นแหล่งพึ่งพิงทางอาหาร  สายใยความผูกพัน  ทรัพยากร  และความปลอดภัย  ความมั่นคงดูจากฐานทรัพยากรธรรมชาติที่บ้านนอกและชนบทนั้นมีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน   

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  สอนให้เราไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง  พึ่งพาตนเองได้ในด้านอาหาร  ทรัพยากร  ยา   พลังงาน  รายได้ที่มีความมั่นคง มุ่งสอนคนไม่ฟุ้งเฟ้อเมื่อเกิดวิกฤติไม่มีเงินแต่ยังมีอาหารก็สามารถอยู่ได้   โดยเฉพาะสังคมเกษตรกรรม  เกษตรกรที่น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้  ส่วนมากจะมีความสุขเพราะไม่ค่อยเกิดผลกระทบมากนัก หากเทียบกับผลกระทบที่เกิดกับกลุ่มที่ทำการเกษตรและธุรกิจเชิงเดี่ยว  ตื่นเช้าขึ้นมา  หุงข้าว  หาพืชผักที่อยู่ตามริมรั้ว  เข้าป่าหาเห็ด  เมื่อได้มาก็นำมาเป็นอาหารและขาย  ใช้พลังงานจากต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่อยู่ในสวน  ปลูกผักที่ปลอดภัยหมุนเวียน  มีอากาศที่ปลอดโปร่ง  และพัฒนาตนเองด้วยการเรียนรู้เทคโนโลยี  ในระบบการขายออนไลน์  แปรรูปพืชผัก  ผลไม้ที่มีเหลือล้นเป็นรายได้และสามารถนำไปแบ่งปันให้กับคนที่อยู่ในเมืองได้ 

ซึ่งจะเห็นข่าวจากทางโทรทัศน์  วิทยุ  ที่เครือข่ายบนดอยสูง(ชนเผ่า)หลายพื้นที่ได้รวบรวมเอาข้าวมาปันให้กับประชาชนที่เดือดร้อนในตัวเมือง  หรือเครือข่ายประมงภาคใต้นำเอาปลาทะเลตากแห้งนำมาส่งให้กับคนที่เดือดร้อนในเมือง  ฯลฯ  มันเป็นความสุขของคนบ้านนอก  ที่มีฐานอาหาร  ทรัพยากร  พลังงาน  ยารักษาโรค  เศรษฐกิจเพียงพอที่จะแบ่งปัน  ให้คนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากสามารถต่อสู้ปัญหาในชีวิตได้

เมื่อผ่านพ้นวิกฤติไวรัสโควิด-19  แล้ว  โจทย์การจะฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ควรจะมีระบบเศรษฐกิจสองระบบควบคู่กัน แม้เรามีรายได้น้อยลง แต่มีความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าโจทย์ชีวิตของเราให้น้ำหนักเรื่องรายได้หรือความมั่นคงในชีวิตมากกว่ากัน อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต  โดยสามารถที่จะทำไปพร้อม ๆ กันในหนึ่งครอบครัว  นั่นคือการทำตามแนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในการเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิต  และทำควบคู่ไปกับระบบธุรกิจ  จึงจะทำให้เกษตรกรและประชาชนอยู่ได้อย่างแท้จริง  มิใช่จะมุ่งหวังให้เป็นทุนนิยมหรือเสรีนิยมเพียงอย่างเดียว

ความสุขที่บ้านนอก  ถึงจะเจอกับภาวะวิกฤติ  หรือไม่เจอภาวะวิกฤติอื่นใด  สังคมในชนบทไทยก็มีความสุขเสมอ เพราะมีพื้นฐานจากการดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง  ที่มีสังคมที่ดี  อาหารดี  สุขภาพดี  ทรัพยากรดี  อากาศดี  ชีวิตแค่นี้ก็มีความสุขอย่างล้นเหลือ

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 17 มิ.ย. 2563

ผู้เขียน : ณัฎฐวี สายสวัสดิ์