ใช้การกรอง

คนไทยมีความสุขที่สุดในโลก?

Created
วันพุธ, 21 กุมภาพันธ์ 2561
Created by
สยามรัฐ
Categories
บทความ
 

ThaiHappiness

 

เครดิตภาพ : TNN24
 

คงจะหลงใหลได้ปลื้มกับดัชนีความทุกข์ยากที่ไทยได้รับการจัดอันดับให้มีต่ำสุดในโลก จนกลบความเป็นอันดับ 3 ชาติที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกไปได้ชั่วคราว

ตามที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยแพร่ผลการจัดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากตามดัชนีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ (Misery Index)โดยประเทศไทยยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีระดับความทุกข์ยากต่ำที่สุดในโลกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ตามมาด้วยสิงคโปร์ ,ญี่ปุ่น, สวิตเซอร์แลนด์ และไต้หวัน จนนายกรัฐมนตรีเป็นปลื้มนั้น

แท้จริงแล้ว เป็นภาพลวงตา เพราะตัวชี้วัดค่าความทุกข์ยากตามที่บลูมเบิร์กใช้จัดอันดับนั้น มีแค่ 2ตัวคือ อัตราขยายตัวของเงินเฟ้อกับอัตราจ้างงาน

ตัวชี้วัดความทุกข์ ความสุข ฐานะทางเศรษฐกิจ หนี้สิน ความเหลื่อมล้ำทั้งทางสังคม ทั้งรายได้ สุขภาพ สวัสดิการสังคม ฯลฯ มีนับสิบๆตัวชี้วัด

การใช้อัตราเงินเฟ้อกับอัตราจ้างงานเป็นตัวชี้วัดจึงไม่สะท้อนความสุขความทุกข์ได้ เพราะตัวชี้วัดเหล่านี้ สามารถควบคุมหรือบิดเบือนได้

อย่างอัตราขยายตัวของเงินเฟ้อนั้น ยามใดที่อัตราขยายตัวของเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลาง ไม่ว่าจะFed ของอเมริกา BOJ ของญี่ปุ่นPBOC ของจีน ECB ของยุโรป จะใช้วิธีขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ธนาคารกลางของเรา ( BOT) เรียกว่าดอกเบี้ยนโยบาย

ตอนนี้ BOT กำลังขัดกับกระทรวงการคลัง เพราะคลังต้องการให้มีสภาพคล่องในระบบคือเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นโดยการลดอัตราดอกเบี้ย

แต่ BOT ยังทำเฉย ประชุม กนง.ล่าสุดเมื่อ 14 ก.พ. ยังคงยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%

เป็นอัตราที่คงที่มาตั้งแต่การประชุม 29 เม.ย. 2558 มาจนถึงปัจจุบัน 36 เดือน(จนถึงประชุม กนง.ครั้งหน้ากลางเดือนหน้า)

ดอกเบี้ยสูง ต้นผลิตสินค้าก็สูงของก็แพง คนก็จับจ่ายใช้สอยน้อยลง การบริโภคภายในประเทศต่ำ

ช่วงปี 2558-59 อัตราเงินเฟ้อเคยติดลบต่อเนื่องกว่า 15 เดือนจนเข้าข่ายเงินฝืด อันเป็นคำเดียวกันกับ “ฝืดเคือง” เหตุกำลังซื้อในประเทศหดตัวหรือลดลงอย่างรุนแรง

สำหรับปีนี้ ยังจะถูกกดให้ต่ำอยู่อีก หากใช้เป็นองค์ประกอบในการหาค่าดัชนีความทุกข์ยาก ไทยก็คงจะเป็นแชมป์เหมือนปีนี้

โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ 1.6% จากปี 60 ที่เฉลี่ย 0.8 %

หากต้องการให้เกิดสภาพคล่องสูง ลดดอกเบี้ยลงอีกสัก50 สตางค์ อัตราขยายตัวของเงินเฟ้อน่าจะเป็น 2.0-2.5% คือเฟ้ออ่อนๆ เงินหาง่าย ทำมาค้าขายคล่อง

การที่ดอกเบี้ยสูง ทำให้ต้นทุนผลิตสูง สินค้าย่อมจะแพงตามต้นทุน ผู้บริโภคก็จะกินใช้น้อยลง การบริโภคภายในประเทศอันเป็นส่วนหนึ่งของอัตราเติบโตของจีดีพี ก็จะต่ำ

กำลังซื้อต่ำ ยังสะท้อนถึงการจ้างงานต่ำ เพราะรายได้ของคนไทยส่วนใหญ่เกิดจากการจ้างงานหรือมีงานทำ

ส่วนที่ว่า อัตราจ้างงานของไทยสูงนั้น ส่วนหนึ่งเป็นภาพลวงตา

เพราะการว่างงานหรือจ้างงานนั้นมี 2 แบบ

แบบหนึ่งคือว่างงานแบบ ไม่มีงานทำ กับอีกแบบคือว่างงานต่ำระดับ คือมีงานทำ แต่ได้ค่าจ้าง ค่าแรงต่ำกว่าวุฒิหรือต่ำกว่าที่ควรจะได้

อย่างเช่นจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเดือนละ 7,500 บาท ซึ่งต่ำกว่าค่าจ้างคนใช้พม่าตามบ้านเป็นต้น

ถ้าเอารายได้เป็นตัวชี้วัดค่าของความสุข คนไทย 7 คน จะมีคนที่ไม่มีความสุขหรือสุขน้อยกว่าคนอื่นๆอยู่ 1 คน

ทั้งนี้เพราะคนไทยขึ้นทะเบียนคนจน 11 ล้านคน(ขอขึ้นทะเบียน 14 ล้านคน) จากจำนวนประชากร 77 ล้านคน

ขณะที่คนรวยแค่ 1% ครอบครองทรัพย์สิน เงินทองมากเท่ากับคนไทยอีก 99% มีรวมกัน

(ข้อมูลจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีไทย 50 อันดับของนิตยสารฟอร์บส)

อาจจะแย้งว่า คนจนก็มีความสุขได้ ซึ่งก็เป็นจริง คือดูที่พระสงฆ์(แท้)เป็นตัวอย่าง ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัย ไม่สะสมอาหาร บิณฑบาตยังชีพ ท่านก็มีความสุขได้

แต่สำหรับคนธรรมดา รายได้หมายถึงสิ่งยังชีพพื้นฐานด้วยปัจจัยสี่ อาหาร-ที่อยู่อาศัย-เสื้อผ้า-ยารักษาโรค

ตัวชี้วัดความสุข ความทุกข์อีกตัวคือความเหลื่อมล้ำตั้งแต่รายได้ไปจนถึงความเป็นอยู่สวัสดิการสังคมทุกด้าน

สถาบันการเงินเครดิตสวิส เปิดเผยรายงานความมั่งคั่งของโลก (Global Wealth Report 2016) เมื่อปีก่อน ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย

โดยคนรวย ที่มีสัดส่วน 1% ของประชากร ครอบครองความมั่งคั่งสูงถึง 58% ของระบบเศรษฐกิจ

ปีนี้จะอยู่ที่เดิมหรือแซงอินเดียยังไม่อาจะคาดเดาได้ เพราะนับวันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำมีแต่ถูกถ่างออกไปยิ่งขึ้น

ความทุกข์ของคนไทยอีกกลุ่มก็คือหนี้นอกระบบที่จะทำให้ที่ดินเกษตรกรรมกว่า 31 ล้านไร่สุ่มเสี่ยงจะถูกบังคับจำนองหรือถูกยึด เพราะเอาไปขายฝาก

ที่ต้องขายฝากก็เพราะ เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ยาก เนื่องจากขาดคุณสมบัติที่ธนาคารกำหนด

นอกจากนี้ ธนาคารในยามนี้ มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล คือหนี้เสียท่วมหัว เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าไม่มีปัญญาใช้คืนเงินกู้

ใช่แต่ที่ดินจะถูกยึด ทรัพย์สินมูลค่าระดับ พัน-หมื่น ที่ติดอยู่กับโรงรับจำนำส่วนในปีที่แล้ว ผู้จำนำไม่สามารถไถ่ถอนคืนตามกำหนดมีมากเป็นประวัติการณ์

เป็นรายงานจากโรงรับจำนำกทม.ที่มีกำไรถึง 11 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ โดยรายได้สวนใหญ่มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ขาดการต่ออายุตั๋ว

จึงไม่น่าแปลกใจที่ รายงานตัวเลขหนี้ครัวเรือนในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว พบว่าเพิ่มสูงสุดในรอบ 20 ปีโดยเพิ่มขึ้นถึง 22%

ทั้งหมดนี้คือ Misery Index ที่แท้จริง

ใครจะหลอกตัวเอง แปลว่าดัชนีความสุขก็สุดแท้แต่

 ที่มา : สยามรัฐ วันที่ 21 ก.พ. 2561

 
ผู้เขียน :  แสงไทย เค้าภูไทย