ข้าวกับการค้า จริงหรือที่ว่าคนไทยจะมีข้าวไม่พอกิน

Created
วันเสาร์, 02 มิถุนายน 2555
Created by
นรัญกร กลวัชร
Categories
บทความ
 

 

ข้าวกับการค้า จริงหรือที่ว่าคนไทยจะมีข้าวไม่พอกิน

             ทุกปีชาวนาไทยผลิตข้าวได้ถึง 20 ล้านตันข้าวสาร ในจำนวนนี้เราเก็บไว้บริโภคเองภายในประเทศ 11 ล้านตัน และส่งออก 9 ล้าน ตัน  ในสถานการณ์ที่จีน อินเดีย เวียดนาม หยุดส่งข้าวออก ทำให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวหลายประเทศ  หันมามองที่ตลาดข้าวประเทศไทย  แน่นอนว่าผู้ส่งออกข้าว อาจจะรู้สึกว่านี่คือโอกาสทองของไทย   ที่จะเพิ่มจำนวนข้าวที่จะส่งออกไปขายได้มากขึ้น  แต่ด้วยสถานการณ์ภายในประเทศที่ข้าวสารกำลังขึ้นราคา  ประกอบกับข่าวการจลาจลและการชุมนุมประท้วงอาหารราคาแพงในต่างประเทศ   นี่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่จะทำให้ผู้บริโภคข้าวภายในประเทศย่อมเป็นกังวลกับสถานการณ์ข้าวในประเทศ ไทย 

การรุกคืบของพืชพลังงาน และนิคมอุตสาหกรรม

ประเทศไทยก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน  ที่การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและบริการกำลังเติบโตอย่างหนัก  ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมกำลังหดตัวเล็กลง เนื่องจากอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงและ การประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอกับการเลี้ยงดูครอบครัวอีกต่อไป

หลายปีที่ผ่านมา ที่ยางพาราราคาสูงขึ้นจนใจหาย  พื้นที่ปลูกข้าว พื้นที่ผลิตอาหารจำนวนมากในหลายภาคของประเทศไทย  ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราราคางามแทน

และหลายปีมาแล้วที่ยูคาลิปตัสได้เข้ายึดหัวหาดพื้นที่ปลูกพืชอาหารในภาคอีสาน  การขยายตัวและความต้องการของอุตสาหกรรมกระดาษเติบโต รุกคืบไปทั้งในพื้นที่ราบที่เคยเป็นพื้นที่ปลูกพืชอาหารและสู่พื้นที่โคกดอนที่เคยเป็นพื้นที่ป่าชุมชนในหลายจังหวัด  โดยเฉพาะในเขตอีสานตอนใต้  ร้อยเอ็ด สุรินทร์  ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี  และภาคตะวันออกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา

     พร้อมๆ กับการรุกคืบอย่างรวดเร็วของการปลูกพืชเพื่อผลิตพลังงานทดแทน  ทั้งอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และการบูมของปาล์มน้ำมันสุดๆ ในปีที่ผ่านมา  ทำให้ฤดูกาลผลิตที่แล้วมีชาวนาหลายคนปรับพื้นที่นา   ให้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันแทน  พร้อมกับการตอบรับของฝ่ายนโยบายที่ตั้งเป้าหมายให้มีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศไทยให้ได้ถึง 3 ล้านไร่ ทั่วประเทศ

          การเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม  เขตอุตสาหกรรมหนัก  อุตสาหกรรมปิโตรเคมี  ในภาคต่างๆ    ที่เห็นชัดเจนมากที่สุดในภาคอีสานและภาคตะวันออก คือ นิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยอง  อุตสาหกรรมเกลือขนาดมหึมาที่จังหวัดอุดรธานีและสกลนคร   ในขณะที่ภาคใต้  กำลังกลายสภาพเป็นภูเขายางพารา  ป่าปาล์มน้ำมัน และ เขตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ

          การสำรวจพื้นที่ปลูกข้าว และพื้นที่ผลิตอาหารในพื้นที่ 13 จังหวัดทั่วประเทศของเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน  จึงพบว่าพื้นที่ปลูกข้าวในหลายจังหวัด  อยู่ในสภาพค่อยๆ ลดลงตามลำดับในหลายจังหวัด

          ถ้าไม่มีสถานการณ์ ข้าวราคาแพง เพราะประเทศอื่นปลูกข้าวได้น้อยลง  ประเทศไทยมีโอกาสจะเจอวิกฤตพื้นที่ปลูกข้าว และพื้นที่ปลูกพืชอาหารลดลงไปอย่างเงียบๆ หรือไม่  เรื่องนี้น่าจะช่วยเตือนสติได้ดีต่อประเด็นการคุ้มครองพื้นที่ปลูกพืชเพื่อ อาหาร  หรือความมั่นคงทางอาหารของคนไทย 

ที่ดินไม่ได้อยู่ในมือชาวนา

เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเคยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวเหมือนกับไทย  แต่เมื่อฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียได้บูมอย่างหนัก  ให้มีการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปปลูกพืชพลังงาน และพืชเพื่อการส่งออกเพื่อหารายได้เข้าประเทศเป็นหลัก   ปัจจุบันนี้ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ต้องกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าว  ที่เป็นอาหารหลักของคนในประเทศ  สาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ประเทศฟิลิปปินส์ปลูกข้าวได้ไม่พอเพียงกับการบริโภคของคนในประเทศ  ก็เพราะว่าที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้อยู่ในมือชาวนา  แต่กลับอยู่ในมือของบริษัทการเกษตรขนาดใหญ่  นักการเมือง  เขตอุตสาหกรรม  และนายทุนที่กักตุนที่ดินไว้เพื่อเก็งกำไรเป็นหลัก  สถานการณ์เช่นนี้อันที่จริงแล้วก็ไม่ห่างไกลนักจากสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

ในประเทศไทยมีเกษตรกรถึง 3.2 ล้านคนไปร่วมลงชื่อไว้ในการจดทะเบียนคนจน เมื่อสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ เปิดให้มีการลงชื่อเกษตรกรที่เดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน  ปัจจุบันชื่อเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เช่นเดิม  เพราะยังไม่มีการช่วยเหลือใดๆ นอกเหนือจากการได้ลงชื่อ ในจำนวน 3.2 ล้านคน มีเกษตรกรที่ระบุว่าตนไม่มีที่ดินเลย 1.3 ล้านคน  มีที่ดินอยู่บ้างแต่ไม่พอทำกิน 1.6 ล้านคน และขอเช่าที่ดินรัฐอยู่ 3 แสนคน

ในขณะที่สถานการณ์ข้าวขึ้นราคาได้ทำให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลกันมากขึ้นว่า  มีชาวนาจำนวนมากในภาคกลางที่ต้องเช่าที่คนอื่นทำนา   จากการสัมภาษณ์ชาวนาที่ตำบลบางขุด จังหวัดชัยนาทของกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดนพบว่ามีชาวนาในตำบลบางขุดถึง 70 % ที่ ต้องเช่าที่คนอื่นทำนา  ชาวนาในพื้นที่เขตนี้ปลูกข้าวขายมานานแล้ว  แต่ยิ่งทำยิ่งขาดทุน  มีหนี้สิน และต้องตัดที่นาขายไปที่ละส่วน  จนไม่มีที่นาเหลืออยู่และต้องเช่าที่นาแทน  ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ที่นาที่ได้เช่าก็คือที่นาที่ตนเองเคยเป็นเจ้าของนั่นเอง

หากที่ดินไม่ได้อยู่ในมือชาวนา ความมั่นคงทางอาหารของคนไทยจึงขึ้นอยู่กับว่า  เจ้าของที่นาในประเทศไทยจะยังคงรักษาพื้นที่นาไว้เป็นที่ปลูกข้าวได้อีกนาน แค่ไหน  

รู้จักข้าว  รู้จักชาวนา

มีหลายคนตั้งคำถามว่า  ถ้าปลูกข้าวแล้วยังจนเป็นหนี้เป็นสิน   แล้วชาวนายังทนปลูกข้าวอยู่ทำไม ทำไมไม่ไปทำอาชีพอื่น ที่รายได้ดีกว่านี้  หรือเปลี่ยนไปทำงานตามโรงงาน เป็นกรรมกร หรือทำงานรับจ้างอะไรก็ได้ 

ประเด็นคือหลายสิบปีที่ผ่านมา   ราคาข้าวไม่เคยสูงเช่นนี้มาก่อน  สถานการณ์ปัจจุบันคือสถานการณ์ที่ไม่ปกติ   เป็นสถานการณ์ที่ข้าวในตลาดโลกไม่เพียงพอกับการบริโภค  ตลาดจึงเป็นของผู้ขายและผู้ซื้อยินดีจ่ายเพิ่มขึ้น  แต่สถานการณ์ในประเทศไทยหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเช่นนี้   การขายข้าวที่ผ่านมาเป็นตลาดของผู้ซื้อ  ผลผลิตข้าวของประเทศไทยมีมากจนล้นเกินความต้องการ และมีส่วนเหลือถึง 45% ที่ ต้องผลักดันให้เกิดการส่งออก  เมื่อความต้องการในการซื้อข้าวน้อยกว่าข้าวที่ผลิตได้  ผู้ซื้อคือพ่อค้าคนกลางจึงสามารถกดราคาข้าวของชาวนาให้ต่ำลงได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินกันเสมอว่า ชาวนาเป็นผู้ปลูกข้าว  แต่ราคาข้าวกำหนดโดยพ่อค้าคนกลาง

          คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าข้าวมีปริมาณมากเกินไป  ทำไมไม่ลดปริมาณข้าวที่ผลิตลง  ชาวนาจะได้กำหนดราคาข้าวได้เอง  ปัญหาคือชาวนาถูกส่งเสริมให้ปลูกข้าวเพื่อส่งออกมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีแล้ว   ปัจจุบันพื้นที่การปลูกข้าวของประเทศไทยมีมากถึงเกือบ 100 ล้านไร่ มีชาวนาหรือเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน คนผูกพันทำกินหากินอยู่กับผืนนา  และการผลิตข้าวล้นเกินของชาวนานี้   ได้มีส่วนสร้างกำไรให้กับพ่อค้าคนกลางและผู้ค้าข้าวส่งออก  ทำให้เศรษฐกิจการค้าข้าวและการส่งออกข้าวของไทยเติบโตอยู่จนทุกวันนี้  ปัญหานี้จึงเกี่ยวข้องกับระดับโครงสร้าง ที่รัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ชาวนายังมีข้อจำกัดเรื่องความไม่สามารถพึ่งพาปัจจัยการผลิตของตนเอง   ไม่ว่าจะด้วยความเคยชินในระบบการผลิตที่เน้นเทคโนโลยีก็ตาม  หรือจะเป็นด้วยผลพวงของการส่งเสริมให้ปลูกข้าวจำนวนมากและใช้เมล็ดพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาให้ตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยเคมีก็ตาม   ปัจจุบันชาวนาไทยติดการใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีการเกษตรชนิดงอมแงม  ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวของชาวนาอยู่ในระดับที่สูง  และถ้าราคาข้าวที่ถูกกำหนดโดยพ่อค้าไม่สูงมากพอในปีนั้นๆ ชาวนาก็ต้องเผชิญปัญหาขาดทุนการผลิต  ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวให้ชนปี เมื่อชาวนามีหนี้สินมาก  ทางเลือกที่จะขายข้าวของชาวนาจึงมีไม่มาก  แม้ราคาข้าวที่ได้จากพ่อค้าจะต่ำ  แต่นั่นก็ยังทำให้ชาวนามีเงินจำนวนหนึ่งไปหมุนเวียนใช้ในครอบครัว 

คนไทยจะมีข้าวพอกินตลอดไปหรือไม่

คำถามที่ว่า  คนไทยจะมีข้าวพอกินตลอดไปหรือไม่  จึงน่าจะขึ้นอยู่กับว่า เราจะยังรักษาให้มีชาวนารายย่อยประกอบอาชีพทำนาต่อไปได้อีกนานหรือไม่  รัฐควรจะวางแผนอย่างจริงจังเพื่อ  แก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและปัญหาหนี้สินของชาวนา  เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวนายังคงผลิตข้าวให้เรากินตลอดไป  การประกันราคาข้าวในราคาที่สูงเช่นราคาในปัจจุบันควรจะเกิดขึ้นทุกปี  นั่นจึงจะเป็นการรับประกันได้ว่า  เราในฐานะผู้บริโภคจะมีความมั่นคงในด้านอาหารตลอดไป และชาวนาผู้ผลิตข้าวจะมีความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ต่อไปด้วยเช่นกัน

 

เขียนโดย นรัญกร กลวัชร /23 /5/2010