วิกฤตอาหาร ที่อาจนำไปสู่วิกฤตที่ดินและความมั่นคงของเกษตรกร

Created
วันศุกร์, 25 พฤษภาคม 2555
Created by
นรัญกร กลวัชร
Categories
บทความ
 

 

วิกฤตอาหาร ที่อาจนำไปสู่วิกฤตที่ดินและความมั่นคงของเกษตรกร

วิกฤตอาหารแพงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคมโลกในปัจจุบัน  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่คนทั่วไปไม่ได้คาดคิดมาก่อน  แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักวิเคราะห์กลไกตลาดเสรีก็ไม่เคยกล่าวถึง  หรือคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดวิกฤตอาหารแพงขึ้นมา  น่าประหลาดใจที่ว่าลำพังภาวะธรรมชาติปรวนแปร  และผลผลิตการเกษตรลดลงในบางประเทศ  จะสามารถส่งผลสะเทือนกับวิกฤตอาหารโลกและประเทศไทยได้มากถึงเพียงนี้

ประเทศไทยเคยตั้งเป้าหมายการเป็นครัวของโลก  ต้องการผลิตสินค้าและอาหารเพื่อป้อนให้กับสังคมโลก  แต่เมื่อเกิดภาวะวิกฤตอาหารแพงทั่วโลก  คนไทยตาดำๆ ก็ต้องไปเข้าคิวซื้อข้าวสารราคาถูก  ไม่ต่างกับประชาชนประเทศอื่นๆ ที่ผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอและเป็นประเทศผู้สั่งซื้อข้าวจากประเทศไทย 

ถ้าไม่เกิดวิกฤตการณ์อาหารแพงในครั้งนี้   เราคงไม่ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นผู้ส่งออกอาหารป้อนโลก  แต่คนในประเทศของเรายังอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคงและขาดแคลนอาหารในการ บริโภค  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจนและคนชั้นกลางในเมือง  ที่มีรายได้ต่ำและฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคง  พร้อมที่จะได้รับผลกระทบอย่างง่ายดาย   เมื่อปริมาณอาหารลดลงและราคาสินค้าอาหารแพงขึ้น 

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงสองประการที่ว่า  แม้ประเทศไทยจะมีปริมาณข้าวจำนวนมากส่งออกไปขายทั่วโลก  แต่คนจนในประเทศไทย  อยู่ในภาวะได้รับผลสะเทือนได้ง่ายในเรื่องความมั่นคงทางอาหารโดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก   ถ้าราคาข้าวสารและสินค้าต่างๆ แพงมากขึ้นไปกว่านี้  เมืองไทยก็อาจตกอยู่ในภาวะที่คนจนจากหลากหลายสาขาอาชีพลุกขึ้นมาประท้วง  เพราะไม่สามารถซื้อข้าวสารราคาแพงมาบริโภคในครอบครัวได้อีกต่อไป   

ประการที่สอง  วิกฤตอาหารครั้งนี้ชี้ให้เราเห็นว่า  ประเทศไทยเองไม่เคยได้วางระบบหรือมาตรการด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศไว้เลย เมื่อเกิดภาวะวิกฤต  เราในฐานะประเทศผู้ผลิตอาหาร  ควรจะมีอาหารสำรองมากพอที่จะกระจายให้กับคนจนในประเทศ  แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น  ที่สำคัญเรากลับอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้เลย  ต้องปล่อยให้กลไกตลาดเสรีทำงานส่งผลกระทบกับคนจนในประเทศ  โดยที่รัฐบาลก็ยังหาวิธีช่วยเหลือคนจนจากกลไกตลาดเสรีนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา  หลายคนคงรู้สึกแปลกใจไม่ต่างจากผู้เขียนว่า   ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวไปขายแท้ๆ  เราไม่ใช่ประเทศผู้นำเข้าข้าว อย่างประเทศฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซีย    ทำไมคนจนในประเทศไทยถึงต้องกินข้าวราคาแพงด้วย   ถ้าเรานำเข้าข้าวจากตลาดโลก   ซึ่งมีข้าวซื้อขายอยู่จำนวนน้อย  นั่นก็พอจะทำให้ผู้เขียนเข้าใจได้บ้าง   แต่นี่เรามีข้าวอยู่เต็มประเทศ (ภาษานักเศรษฐศาสตร์ บอกว่า supply มีเหลือเฟือ) แล้วเราจะขายข้าวในประเทศให้แพง ให้คนจนในประเทศของเราเดือดร้อนกันไปทำไม  ทำไมเราต้องเอาสวัสดิการของคนจนในประเทศไปแขวนไว้กับกลไกราคาตลาดโลก  ทั้งๆ ที่ ข้าวที่เราบริโภคอยู่ทุกวันนี้มาจากผืนนาในประเทศของเราแท้ๆ  ไม่ได้มาจากตลาดโลกที่มองไม่เห็นเลย 

อันนี้เป็นหลักคิดง่ายๆ  ที่ผู้เขียนคิดว่าถ้ากลไกตลาดโลกดีจริง   มันน่าจะทำให้เราขายข้าวในตลาดโลกได้ราคาดีขึ้น  ชาวนาได้รับการกระจายรายได้มากขึ้น   และเราคนไทยในฐานะผู้ผลิตข้าวก็ควรจะได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐาน  คนไทยควรจะได้กินข้าวคุณภาพดีและราคาถูกกว่าที่อื่น 

แต่ตอนนี้เหมือนกับว่ามือที่มองไม่เห็นของกลไกตลาดโลก  กำลังทำให้รัฐบาลไทยควบคุมอะไรไม่ได้เลย  ต้องปล่อยให้ข้าวสารภายในประเทศราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาด  แล้วต้องไปหาเงินมาอุดหนุนช่วยเหลือคนจนให้มีเงินซื้อข้าวสารภายในประเทศกินในราคาที่แพงขึ้นด้วย  

ผลกระทบล่าสุดจากวิกฤตอาหารแพง  เศรษฐีน้ำมันจากตะวันออกกลางกำลังหวั่นวิตก ถึงความมั่นคงทางอาหารในประเทศตนเอง  และอาจหมายรวมถึงการประเมินผลกำไรในอนาคตจากการลงทุนในบริษัทธุรกิจด้านอาหารและการเกษตร  

ถ้าเศรษฐีน้ำมันพวกนี้สามารถกว้านซื้อที่ดินในประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวหลัก  รวมทั้งกว้านซื้อที่ดินในประเทศผู้ส่งออกข้าวในทวีปอื่นๆ ด้วย เช่น ปากีสถานและซูดาน พวกเขาจะสามารถควบคุมปริมาณผลผลิตข้าวในระดับโลก  รวมทั้งกลไกราคาข้าวในตลาดโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จ  เหมือนที่พวกเขาสามารถควบคุมราคาน้ำมันในตลาดโลกไว้ได้

วิกฤตข้าวแพงในวันนี้   จึงอาจนำไปสู่วิกฤตที่ดินอีกครั้งในอนาคตข้างหน้า   เมื่อสินค้าเกษตรราคาแพง  ที่ดินอาจถูกปั่นราคาให้แพงอีกครั้ง  ชาวนาชาวไร่จะถูกกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ขายที่ดินให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการลงทุนทำธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ในบ้านของเรา 

นี่เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่า   เราต้องมีมาตรการในการปกป้องความมั่นคงทางอาหารและภาคเกษตรกรรมของบ้านเรา  รัฐบาลไทยจึงควรจะให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศ  วางแผนให้ชัดเจนเพื่อที่ว่าพื้นที่เกษตรกรรมจะไม่ถูกรุกจากพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม   สนามกอล์ฟ บ้านจัดสรร  เมืองใหญ่  หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  

เราควรจะมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อให้ชาวนาชาวไร่ สามารถรักษาพื้นที่ทำการผลิตของตนเองไว้ให้ได้  ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตที่ยังสูงเกินไป  ประกันราคาผลผลิตที่เป็นธรรม  หรือสนับสนุนการผลิตในระบบที่รักษาสิ่งแวดล้อม  การวางมาตรการจัดเก็บภาษีที่มากขึ้นสำหรับนายทุนที่กักตุนที่ดินไว้เปล่าๆ โดยที่ไม่ทำประโยชน์อะไร  กระจายที่ดินออกไปให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินจริงๆ  แต่ต้องการทำการผลิต  รวมทั้งออกกฎเกณฑ์ห้ามนายทุนต่างชาติถือครองที่ดินในประเทศไทย   หรือแม้แต่การออกกฎเกณฑ์ห้ามนายทุนในเมืองไทยถือครองที่ดินเกินกว่าที่รัฐกำหนด  

การมีมาตรการที่ชัดเจนเหล่านี้  จะป้องกันไม่ให้ที่ดินที่เคยเป็นที่เพาะปลูกพืชอาหารในบ้านเราตกเป็นของคนอื่น  หรือถูกแปรสภาพไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช้เพื่อผลิตอาหาร  รวมทั้งจะเป็นการกระจาย  นำเอาที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า  ไม่เคยได้ถูกใช้ประโยชน์อะไร  นำกลับมาใช้ประโยชน์ เพาะปลูกพืชอาหารเพื่อเลี้ยงคนในประเทศหรือส่งออกไปขาย  

การคุ้มครองความมั่นคงทางอาหารของประเทศเป็นเรื่องสำคัญเทียบเท่ากับการคุ้มครองความมั่นคงของประชาชน  หวังว่าวิกฤตอาหารในครั้งนี้จะเป็นสัญญาณเตือนสติที่ดีให้กับรัฐบาล   ให้หันกลับมาดูแลและมีมาตรการในการคุ้มครองภาคเกษตรกรรมและชาวไร่ชาวนาของไทยอย่างจริงจัง  ก่อนที่ความมั่นคงทางอาหารของบ้านเราจะตกไปอยู่ในอุ้งมือของนายทุนธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

 

โดย...นรัญกร กลวัชร http://www.oknation.net/blog/landreformnetwork