จะดีกว่าไหมหากรัฐไม่ต้องจ่าย 1,000 ให้ชาวนา

Created
วันอาทิตย์, 26 ตุลาคม 2557
Created by
เมธี สิงห์สู่ถ้ำ
Categories
บทความขวัญแผ่นดิน
 

571026 famer

นโยบายแก้ปัญหาของรัฐบาลปัจจุบัน ที่อยู่ในกระแสถูกวิพากษ์อย่างร้อนแรงไม่แพ้กระแสข่าวอื่นคือ นโยบายช่วยเหลือชาวนาผู้ปลูกข้าวกับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ซึ่งน่าจะพอรู้กันว่าพืชทั้งสองชนิดนี้คือพระเอกของพืชส่งออกสำคัญของไทยมาหลายสิบปี แต่ ณ ที่นี้ผมจะขอหยิบยกเฉพาะประเด็นเรื่องข้าวขึ้นมาคุยเพียงอย่างเดียว



ประเด็นที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็คือ การที่รัฐบาลออกมาประกาศนโยบายการจัดโซนนิ่งพื้นที่ปลูกข้าว และนโยบายการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับชาวนาผู้ปลูกข้าวไร่ละ 1,000 บาท สำหรับผู้ที่ทำนา(ทั้งนาตัวเองและนาเช่า) ไม่เกิน 15 ไร่ และผู้ที่ทำนาเกิน 15 ไร่ ให้จ่ายไม่เกินรายละ 15,000 บาท

หลังจากนั้นก็มีคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะคำถามจากชาวนาผู้ปลูกข้าวเองที่ว่า ‘ถ้าไม่ทำนาแล้ว จะให้ชาวนาไปทำอะไร เพราะทำอาชีพอื่นคงทำไม่เป็น และไม่มีความรู้ในวิชาชีพอื่น‘หรือคำปรารภที่ว่า‘ทำนามาตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งถึงตอนนี้ ถ้าจะให้ไปทำงานโรงงานหรือรับจ้างอย่างอื่น เขาคงไม่รับ เพราะแก่แล้ว‘

เมื่อรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนจำนวนดังกล่าวนี้ให้กับชาวนา คงไม่ใช่ว่าชาวนาจะปฏิเสธไม่รับเงินอุดหนุนนี้หรอกครับ แต่สิ่งที่ผมสนใจก็คือว่า มาตรการแก้ไขปัญหานี้จะสร้างความยั่งยืนให้กับชาวนาได้มากน้อยแค่ไหน ประเด็นนี้ คุณกิมอัง พงษ์นารายณ์ ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย (สค.ปท.) ซึ่งเป็นชาวนาจังหวัดชัยนาท ได้ให้ความเห็นว่ามาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับชาวนาถือเป็นนโยบายที่ดี แต่หากจะให้ดีและแก้ไขปัญหาให้กับชาวนาได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการจ่ายเงินอุดหนุนก็คือ “รัฐบาลต้องหามาตรการในการจัดหาที่ดินทำกินให้กับชาวนา ให้ชาวนาได้มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องเช่าเขาทำอย่างที่กำลังเกิดขึ้นปัจจุบันกับชาวนาในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะชาวนาภาคกลาง”

ประเด็นที่คุณกิมอังพยายามจะนำเสนอให้เห็นภาพก็คือว่า ณ ปัจจุบัน ต้นทุนการทำนาจะหนักไปที่ค่าเช่านา ซึ่งผลจากการสำรวจข้อมูลกลุ่มตัวอย่างชาวนาจังหวัดชัยนาทพบว่า ชาวนามีต้นทุนการผลิตเฉพาะส่วนที่เป็นค่าเช่านาสูงถึงร้อยละ 40.6 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ซึ่งรายละเอียดต้นทุนการผลิตข้าวต่อไร่ต่อรอบการผลิต ของชาวนาจังหวัดชัยนาทที่คุณกิมอังอ้างถึง มีดังนี้ครับ

ลำดับที่

ประเภทค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อไร่ (บาท)

ร้อยละ

1

ค่าเช่าที่ดิน

2,101.25

40.61

2

ค่าปุ๋ย

768.54

14.85

3

ค่ายากำจัดศัตรูพืช

322.25

6.23

4

ค่าเมล็ดพันธุ์

484.38

9.36

5

ค่าจ้างรถไถ

446.20

8.63

6

ค่าจ้างฉีดพ่นยาฆ่าแมลง

138.59

2.68

7

ค่าจ้างหว่าน/ค่าจ้างปลูก

72.02

1.39

8

ค่าจ้างใส่ปุ๋ย

93.18

1.8

9

ค่าจ้างตัดข้าวดีด

123.3

2.38

10

ค่าจ้างรถเกี่ยวข้าว

401.29

7.76

11

ค่าจ้างขนข้าวขึ้นรถไปขาย

116.53

2.25

12

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

106.67

2.06

 

รวม

5,174.20

100.00


แหล่งข้อมูล : LocalAct/ การสำรวจต้นทุนการผลิตรายครัวเรือน 100 ครอบครัว อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท/ รอบการผลิตปี 2557

หากเราลองพิจารณาข้อมูลในตารางต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบกันกับข้อเสนอของคุณกิมอังแล้วจะเห็นว่า ถ้าชาวนามีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองแล้ว ชาวนาก็จะไม่ต้องจ่ายค่าเช่านา จำนวน 2 พันกว่าบาทนี้ และเมื่อชาวนาไม่ต้องจ่ายค่าเช่านา ต้นทุนการผลิตจะลดลงทันที จาก 5,174.20 บาทต่อไหร่ เหลือตัวเลขแค่ 3,073 บาทต่อไร่ ซึ่งน่าจะเป็นต้นทุนการผลิตที่ชาวนารับมือไหว


ทีนี้ลองย้อนกลับไปคิดเล่นๆ ดูครับว่า มาตรการการแก้ไขปัญหาด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับชาวนาไร่ละ 1,000 บาทนี้ เมื่อจ่ายแล้วในรอบการผลิตนี้ ชาวนาก็คงเพียงแค่ได้มีโอกาสหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือเพียงแค่หนึ่งฤดูการผลิตเท่านั้นครับ หากแต่ว่า ถ้าภาครัฐสามารถหามาตรการในการทำให้ชาวนามีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเช่าแล้ว จะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนมากกว่า ที่สำคัญรัฐคงไม่ต้องมาสิ้นเปลืองงบประมาณในส่วนนี้ในทุกฤดูการผลิต 571026 famer2

คิดอะไรก็อยากให้คิดยาวๆ ครับ ปัญหาชาวนาหมักหมม ซุกอยู่ใต้พรมมานานเต็มที ก็เพราะรัฐบาลส่วนใหญ่ใจไม่ถึง กล้าจ่ายเงินระยะสั้น แต่ไม่กล้าแก้ปัญหา “ที่ทำกิน” ที่ชาวนาเขาเรียกร้องมานาน แล้วจะให้ปัญหาชาวนามันจบได้ยังไงล่ะครับ