โลโคลแอคเผยผลศึกษา ชาวนาถูกยึดที่ดิน เหตุสำคัญเพราะกลไกแก้ หนี้เกษตรกรล้มเหลว แนะให้รัฐแก้ปัญหาหนี้เกษตรกรที่ต้นทาง ไม่ปล่อยให้หนี้พอก จนถูกดำเนินคดี และถูกยึดที่ดินขายทอดตลาด
วันที่ 1 สิงหาคม 2557 โลโคลแอค หรือกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน ร่วมกับศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดผลการศึกษาระยะแรกโครงการวิจัย "นโยบายภาครัฐ และบทบาทของสถาบันการเงินต่อการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรรายย่อย" พบว่าการถูกยึดที่ดินของเกษตรกรรายย่อยเกี่ยวข้องอย่างสำคัญ กับกลไกแก้ปัญหาหนี้ของรัฐ เช่นโครงการปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย และการตั้งกลไกช่วยเหลือหนี้เกษตรกรที่ผ่านมา ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำได้แค่ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ แต่ไม่ได้แก้หนี้เกษตรกรแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สุดท้ายรัฐต้องแบกรับภาระหนี้ที่หนักอึ้ง ในขณะที่เกษตรกรก็ไม่สามารถรักษาที่ดินไว้ได้
ทั้งนี้ นางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ผอ.กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดนกล่าวว่า การถูกยึดที่ดินของเกษตรกรรายย่อย มีสาเหตุหลักมาจากปัญหาหนี้สินทั้งหนี้นอกระบบอัตราดอกเบี้ยสูง หนี้จากสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน ที่เกษตรกรถูกฟ้องให้ล้มละลาย หรือขายที่ดินทอดตลาด รวมทั้งการกว้านซื้อที่ดินจากนายทุน ที่เป็นแรงกดดันให้เกษตรกรสูญเสียที่ดินงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า หนี้ในระบบส่งผลต่อการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรการของรัฐ และบทบาทของสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันมีเกษตรกรเอาที่ดินไปจำนองและขายฝากไว้กับสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนถึง 30 ล้านไร่
ทางด้าน ดร.เขมรัฐ เถลิงศรี ผอ.ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเส้นทางการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เริ่มต้นจากการนำที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นที่นาหรือที่บ้านมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ ระยะที่สองคือการผ่อนชำระหนี้ของเกษตรกร ซึ่งผูกพันกับที่ดินที่ถูกจำนอง และระยะที่สามคือเกษตรกรไม่สามารถชำระหนี้ได้ถูกดำเนินคดี ถูกส่งฟ้องศาลและถูกบังคับคดีให้ขายที่ดินทอดตลาด และสูญเสียที่ดินในที่สุด โดยสถาบันการเงินในระบบที่เป็นแหล่งเงินกู้หลักของเกษตรกร คือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งมีเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. ถึง 5,473,804 ครัวเรือนหรือร้อยละ 95 ของครัวเรือนเกษตรกร ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการเข้ามาช่วยเหลือโดยให้สิทธิ์เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของรัฐที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและผ่อนชำระนานกว่า สำหรับเกษตรกรที่กู้กับธนาคารออมสินธนาคารกรุงไทยและ ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เมื่อคิดเป็นสัดส่วนก็ยังไม่มาก
อย่างไรก็ดี แม้จำนวนหนี้ที่ถูกฟ้องดำเนินคดี จนไปถึงขั้นบังคับคดีของ ธกส.นั้น จัดว่ามีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เกษตรกรถูกบังคับคดี เกษตรกรต้องสูญเสียเครื่องมือทำมาหากินที่สำคัญที่สุดคือที่ดิน ดังนั้นตราบใดที่การกู้ยืมตั้งแต่เริ่มแรกยังผูกติดกับหลักทรัพย์ค้ำประกันในรูปที่ดิน โอกาสในการสูญเสียที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้รัฐจะมีมาตรการพักชำระหนี้ และมีกลไกช่วยเหลือเกษตรกร อย่างกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา เกษตรกร(กฟก.) และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการช่วยเหลือกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน(กชก.) มาตรการเหล่านี้มีข้ออ่อน คือสามารถทำได้เพียงยืดเวลาการชำระหนี้ออกไป แต่ไม่ได้ช่วยให้
เกษตรกรชำระหนี้ได้ อาทิเช่น มาตรการอัตราดอกเบี้ยต่ำแม้จะช่วยให้โอกาสการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรต่ำลง แต่เมื่อเผชิญกับแรงกดดันเศรษฐกิจอื่น รายได้ไม่มั่นคง เกษตรกรก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ส่วนมาตรการพักชำระหนี้ทำได้เพียงยืดเวลาการชำระหนี้ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรชำระหนี้ได้ ในขณะที่กลไก กฟก.และ กชก.อยู่ในภาวะแบกรับภาระหนักช่วยเหลือเกษตรได้น้อย โดย ณ เดือนกันยายน 2555 กฟก.สามารถช่วยเหลือซื้อหนี้เกษตรกรจาก สถาบันการเงินได้เพียง 20,451 ราย หรือร้อยละ 4 ของเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลือ 490,653 ราย
ด้าน นางลมัย สมรวย เกษตรกรจากจังหวัดเพชรบุรี อายุ 56 ปี ปัจจุบันมีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทย มีรายได้ต่อเดือนๆละ 10,000 บาท เดือนไหนค่าใช้จ่ายไม่พอ ต้องไปกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน ต้องหาเงินมาต่อสู้คดี เพราะน้องสาวเอาที่ดินมรดกที่พ่อให้จำนองไว้กับ ธ.ก.ส. 1,500,000 บาท เพื่อออกรถบรรทุกวิ่งรถขนส่งอ้อย ปี 2541 ธ.ก.ส.ได้ยื่นฟ้องให้ชำระหนี้เงินต้น 1,500,000 บาท รวมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 19 และค่าบริการสินเชื่ออีกร้อยละ 1จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 2,127,238 บาท สุดท้ายศาลพิพากษาให้ยึดที่ดินขายตลาด2แปลงๆแรก 19 ไร่ และแปลงที่สอง 35 ไร่ มารู้ทีหลังว่าที่ดินถูกขายให้กับลูกค้าที่มานวดในราคา3,946,585 บาท ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าที่ดินในความเป็นจริงมาก เธอพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะนำที่ดินกลับคืนมา ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของศาลฎีกา แต่ละวันเธอใช้เวลาคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้และบอกกับตัวเองว่า"หากเขามายึดที่ เราก็จะอยู่นี่ละ ไม่ไปหรอก ขอตายอยู่ตรงนี้ละตายเป็นตาย"
จากผลการศึกษาในระยะแรก ทางผู้วิจัยมีข้อเสนอว่า รัฐบาลและสถาบันการเงินควรทบทวนเรื่องการนำที่ดินเกษตรกรมาเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ เพราะมีแนวโน้มสูงที่ทำให้เกษตรกรสูญเสียที่ดิน ส่วนมาตรการแก้ปัญหาหนี้เกษตรกร ควรดำเนินการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการกู้หนี้ มีระบบรองรับและเตือนเกษตรกร รวมทั้งโอนหนี้เกษตรกรไปบริหารจัดการให้ทันท่วงที ไม่ควรปล่อยให้หนี้พอกพูน จนถึงขั้นเกษตรกรถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากแก่การช่วยเหลือ ส่วน กฟก.และ กชก. ควรปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนการทำงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งควรให้น้ำหนักกับการทำงานฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและมีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งขึ้น
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.