ภาคเกษตรมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเนื่องจากเป็นภาคที่มีกำลังการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 30.9 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งภาคการผลิตนี้กำลังเผชิญกับปัญหาสูงวัยของแรงงานโดยสัดส่วนของแรงงานเกษตรกรสูงวัยที่มีอายุ 40-60 ปีเพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2546 เป็น 49% ในปี 2556 ในขณะที่มีการศึกษาที่ดีขึ้นโดยเกษตรกรที่สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไปปรับเพิ่มขึ้นจาก 12.1% ในปี 2546 เป็น 21.5% ในปี 2556 เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งถือครองที่ดินไม่มากและขนาดของที่ดินทำกินมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
โดยในปี 2560 พบว่าร้อยละ 50 ของครัวเรือนเกษตรกรมีที่ดินทำกินไม่ถึง 10 ไร่ ขณะที่ครัวเรือนที่เช่าที่ดินทำกินมีสัดส่วนสูงในภาคกลางและเหนือตอนล่าง (โสมรัศมิ์ จันทรัตน์,บุญธิดา เสงี่ยมเนตร,วิศณุ อรรถวานิช,2561,เจาะลึกโครงสร้างภาคเกษตรไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรจากอดีตถึงปัจจุบัน)
สาเหตุการเป็นหนี้ของเกษตรกรเกิดขึ้นจากการนำเงินมาลงทุนทำเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่และปลูกแบบเชิงเดี่ยว ใช้เงินลงทุนเช่าที่ดิน ใช้เงินสำหรับการศึกษาของบุตรหลาน รักษาพยาบาลในขณะที่ขาดทักษะความรู้ในระบบการผลิตการแปรรูปและการจัดจำหน่าย รวมทั้งไม่มีการจดบันทึกรายรับรายจ่ายครัวเรือน ประกอบกับมีปัจจัยจากภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ฐานการผลิตถูกทำลายหรือลดลง การเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศโลกร้อนเกิดภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ผลผลิตเสียหาย ราคาผลผลิตตกต่ำถือเป็นวงจรการผลิตที่ส่งผลต่อรายได้และหนี้สินของครัวเรือนเกษตรกร โดยเฉลี่ยรายได้ต่อหัวต่อปีของครัวเรือนเกษตรกรไทยในปี 2560 อยู่ที่ 57,032 บาท และในปีเดียวกันสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ต่อหัวต่อปีของครัวเรือนเกษตรกรอยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่ง 30% ของครัวเรือนเกษตรกรมีหนี้เกิน1เท่าของรายได้ต่อหัวต่อปี และเกือบ 40% ยังมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าเส้นความยากจนของประเทศคือมีรายได้ไม่ถึง 32,000 บาทต่อปี (อ้างแล้ว)
มูลนิธิชีวิตไทได้ศึกษานโยบายภาคการเกษตรย้อนหลังเป็นเวลา 10 ปี นับจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (17 ธันวาคม 2551 - 5 สิงหาคม 2554) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (5 สิงหาคม 2554 - 7 พฤษภาคม 2557) และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (24 สิงหาคม 2557 – ปัจจุบัน)โดยใช้มูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี2552-2560 พบว่าแนวคิดทางด้านนโยบายเกษตรของทั้ง 3 รัฐบาลต้องการสร้างรากฐานครัวเรือนเกษตรกรให้เข้มแข็ง และให้น้ำหนักกับการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รักษาเสถียรภาพและยกระดับราคาสินค้าเกษตรส่วนหนึ่งเพื่อเป็นหลักประกันด้านรายได้
10 ปี 3 รัฐบาล รัฐทุ่มงบกว่า 1.3 ล้านล้าน แก้ปัญหาเกษตรกร รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้งบประมาณสำหรับโครงการประกันราคาในฤดูกาลผลิต 2552/53 สำหรับประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ข้าว ไว้ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท (positioning,2009,ประกันราคาสินค้าเกษตร)
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการใช้เงินในโครงการจำนำข้าวในระยะเวลา2ปี คือฤดูการผลิต2554/55กับ 2555/56 ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 6.88 แสนล้านบาท(ไทยพับลิก้า,2013,12ปีโครงการจำนำข้าว)
ในส่วนรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทุ่มงบประมาณแก้ปัญหารากหญ้าตลอดระยะเวลา 4 ปีจำนวน 6 แสนล้านบาท
หากมองจากแนวคิดทางนโยบายเกษตร สิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องการเห็นคือให้ครอบครัวเกษตรกรมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ซึ่งจากการทบทวนนโยบายพบว่ามาตรการแก้ปัญหาชาวนาและเกษตรกรโดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน ยังเป็นวิธีการแก้ปัญหาในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นก่อน เช่น โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ พักชำระหนี้ ออกบัตรเครดิตให้เกษตรกร ช่วยเหลือด้านการเพาะปลูก รวมทั้งการนำหนี้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบธนาคารของรัฐหรือให้หน่วยงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเร่งเจราจาชะลอการบังคับคดียึดทรัพย์ขายทอดตลาดให้กับสมาชิกเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้ไว้กับกองทุนฯ
สำหรับนโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาทางโครงสร้างซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญของเกษตรกรในสังคมไทย เช่น จัดหาที่ดินทำกินให้เกษตรกรยากจนในรูปของธนาคารที่ดิน และโฉนดชุมชน ปรากฏให้เห็นในช่วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาบริหารประเทศได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินพ.ศ.2554 ปัจจุบันสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินมีภารกิจหลักผลักดันกฎหมายธนาคารที่ดิน พ.ศ...ช่วยแก้ปัญหาการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรจากการขายฝากและติดจำนองจำนวน 77 ราย 225 แปลงรวมพื้นที่ 1,499 ไร่
สำหรับนโยบายเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่รัฐบาลก่อนหน้านี้มีแนวทางสนับสนุนระบบการผลิตอบรมความรู้ ในขณะที่ครม.คสช.มีนโยบายชัดมากขึ้นให้เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 600,000 ไร่
ทำให้เกิดคำถามว่าการบริหารงานของรัฐบาลในระบบประชาธิปไตยและการบริหารราชการในระบบเผด็จการทหารมีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาปากท้องและอาจหวังคะแนนทางการเมืองกลาย ๆ นั้นได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเกษตรกรและชาวนายังคงมีหนี้สินสูงกว่ารายได้หนึ่งถึงเท่า และอีกเกือบร้อยละ 40 มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน อีกทั้งเกษตรกรโดยเฉพาะในภาคกลางต้องเช่าที่ดินทำกิน
ดังนั้นการวางนโยบายเพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทย ควรทำให้พวกเขามีความมั่นคงในที่ดิน เดินหน้าออกพรบ.ธนาคารที่ดิน มีแผนเพิ่มระบบชลประทานให้ทั่วถึง สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพสร้างความหลากหลายในระบบการผลิตเพื่อมีฐานรายได้ต่อเนื่อง โดยรัฐบาลส่งเสริมการแปรรูปและการตลาดในรูปแบบที่เกษตรกรร่วมกำหนดด้วย
ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 8 มิ.ย. 2561
ผู้เขียน : สมจิต คงทน
มูลนิธิชีวิตไท(โลโคลแอค)
www.landactionthai.org
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.