ข้อโต้แย้งบางประการใน “แบบจำลองคดีโลกร้อน”
สำหรับคนทั่วไปแล้วคงมีจำนวนน้อยรายนักที่จะรู้จัก “คดีโลกร้อน” แต่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ ในข้อ 5 มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “แก้ไขปัญหาการดำเนินคดีโลกร้อนกับคนจน” นั่นแสดงว่าคดีนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน และชื่อ“คดีโลกร้อน” ก็เป็นชื่อที่เข้าใจกันดีในหมู่คนที่เกี่ยวข้อง
บทความนี้จะขอทำความเข้าใจเบื้องต้น จากนั้นจะตามด้วยคำโต้แย้งทางวิชาการในบางประเด็นกับสิ่งที่มีชื่อเป็นทางการว่า “แบบจำลองสำหรับประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมบางประการหลังการทำลายป่าไม้” แต่เรียกกันสั้นๆว่า “แบบจำลองคดีโลกร้อน”
คดีนี้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเป็นโจทก์ฟ้องเกษตรกรซึ่งกรมฯอ้างว่าเป็น “ผู้บุกรุกทำลายป่า” เพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ที่ผ่านมาเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่ม “เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.)” ถูกฟ้องไปแล้ว 19 คดี จำนวน 34 ราย ค่าเสียหายทั้งสิ้นกว่า 13 ล้านบาท
เกณฑ์ในการเรียกค่าเสียหายมาจากแบบจำลองที่กล่าวแล้ว คือประมาณไร่ละ 1.5 แสนบาท ทาง คปท.ได้ร้องเรียน (30 พ.ย. 53) ขอให้ยกเลิกแบบจำลองดังกล่าว ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งว่า วิธีการคิดค่าเสียหายไม่เป็นไปตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัติของวิญญูชน เช่น การคิดค่าเสียหายที่ทำให้อากาศร้อนขึ้นกว่าเดิม โดยคิดจากค่าไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ในการทำให้อุณหภูมิอากาศในบริเวณนั้นกลับมาเท่าเดิม การคิดค่าเสียหายจากการสูญเสียหน้าดิน ปุ๋ย และน้ำ (ที่เป็นเหตุมาจากต้นไม้ถูกตัด) โดยการคิดจากค่าใช้จ่ายในการบรรทุกดิน ปุ๋ยและน้ำกลับไปที่เดิม
ต่อมา(4 ม.ค. 54) ทางกรมฯ ได้ตอบไปว่า แบบจำลองดังกล่าว “ได้มีการศึกษาโดยใช้ความรู้วิชาการทางป่าไม้ที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาได้กระทำโดยนักวิชาการของกรมฯที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน และ ได้นำเสนอในการประชุมต่างๆ ทั้งในกรมฯ นักวิชาการและบุคคลภายนอก ก่อนที่จะประกาศใช้แบบจำลองดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมของผู้บริหารกรมฯ อย่างไรก็ตามได้มีบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม ให้พัฒนาเพื่อจะได้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการฯ”
ผมเองเคยสอนวิชา “การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์” ในมหาวิทยาลัยมาร่วม 20 ปี ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นต่อแบบจำลองนี้ในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับวิชาการล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับนโยบายของกรมฯ หรือของรัฐบาลแต่ประการใด ดังต่อไปนี้
ข้อที่หนึ่ง การสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์เป็นทั้ง “วิทยาศาสตร์และศิลป์” กล่าวคือผู้สร้างต้องมี (1) ความเข้าใจในกลไกที่เป็นธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์ของสิ่งที่จะทำการศึกษาหรืออยากรู้อย่างถ่องแท้ และ (2) เนื่องจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมาก ผู้สร้างแบบจำลองต้องมีศิลปะในการตัดสินใจคัดเลือกว่าปัจจัยใดมีความสำคัญมาก-น้อย ให้เข้ามาเป็นปัจจัยในแบบจำลองหรือไม่
ในแบบจำลองคดีโลกร้อน ผู้ศึกษา (นักวิชาการของกรมฯ) ต้องการจะทราบว่า การตัดไม้ทำลายป่าจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเท่าใด
แต่ทั้งๆที่ผู้ศึกษาทราบว่า ความหลากหลายทางชีวภาพหมายถึง “จำนวนชนิดพันธุ์ที่ปรากฏให้เห็น ณ ที่นั้น” ซึ่งหมายรวมถึงทั้งพืชและสัตว์ ไส้เดือนและจุลินทรีทุกชนิด แต่ผู้ศึกษาได้ตัดสินใจเลือกปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่าหรือน้ำที่ไหลบ่าบนผิวดินที่เกิดจากน้ำฝน (Runoff Curve Number หรือค่า CN) ในพื้นที่นั้น ๆ แทน
ผมเข้าใจว่านี่ก็คือ “ศิลปะ” ที่ผู้ศึกษาตัดสินใจเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะมิฉะนั้นแบบจำลองจะซับซ้อนมากเกินไปจนถึงขั้นทำไม่ได้เลยแต่ปัญหาก็คือ ทั้งๆที่ผู้ศึกษาทราบว่า ปัจจัยในการกำหนดน้ำท่าหรือ CN มี 4 ปัจจัยโดยมีความสำคัญหรือน้ำหนักของ แต่ละปัจจัยคือ (1) สภาพภูมิประเทศ (มีความสำคัญ 40%) , (2) ประเภทและปริมาณแอ่งน้ำที่ผิวดิน (surface storage มีความสำคัญ 20%) , (3) ความสามารถในการดูดซับน้ำฝนของดิน (มีความสำคัญ 20%) และ (4) ชนิดและปริมาณพืชคลุมดิน(มีความสำคัญ 20%)
แต่ผู้ศึกษาได้เลือกเอาปัจจัยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีความสำคัญเพียง 40% มาพิจารณา โดยตัดปัจจัยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีความสำคัญรวมกันถึง 60% ทิ้งไป โดยให้เหตุผลว่าเพราะ “มีการเปลี่ยนแปลงน้อย”
ประเด็นนี้ผมมีความเห็นแย้งกับผู้ศึกษา ด้วยเหตุผลที่ว่า ปัจจัยที่ 1 และ 2 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยก็จริง แต่ความสำคัญของมันยังคงอยู่ การตัดปัจจัยสำคัญทิ้งแล้วยึดเอาปัจจัยไม่สำคัญมาเป็นสรณะนั้นก็เท่ากับ “ทิ้งแก่น เอากาก” นั่นเอง
นอกจากนี้ การไม่นำปัจจัยสภาพภูมิอากาศ เช่น การกระจุกตัวของฝน ย่อมทำให้ผลการศึกษาคลาดเคลื่อนมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำฝนจำนวน 500 มิลลิเมตร ตกภายในเวลาหนึ่งวัน ย่อมส่งผลให้เกิดน้ำท่าจำนวนมากกว่า (ซึ่งมีผลทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง-ตามแนวคิดของผู้ศึกษา) ที่ปริมาณฝนเท่าเดิมแต่ตกในช่วงหนึ่งเดือน
ข้อที่สอง ผู้ศึกษาได้ให้ “ค่า ความหลากหลายทางชีวภาพ (ย่อว่า BDV)” ออกมาเป็นคะแนนซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 13 (พื้นที่โล่งที่ไม่ต้นไม้ปกคลุม) จนถึง 55 (ป่าดงดิบสมบูรณ์) จากนั้นจึงได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างค่าที่อยากทราบกับค่า BDV ต่างๆที่อยู่ในช่วงดังกล่าว ด้วยหน้ากระดาษที่จำกัด ผมจึงคัดลอกสมการคณิตศาสตร์ที่มาจากแบบจำลองนี้มาเพียง 4 สมการ คือ
Td = 0.3468BDV-0.0036 (BDVยกกำลัง 2)-5.8054 …(3)
N_Loss = 23999BDV -228.11 (BDV ยกกำลัง 2) – 572611 …(6)
P_Loss = 8.15BDV -0.80 (BDVยกกำลัง 2) – 186.42 …(7)
K_Loss = 0.0307 BDV – 0.0003 (BDVยกกำลัง 2) -0.7373 …(8)
โดยที่ Td (องศา C ) , N_Loss (กิโลกรัม/ไร่/ปี) , P_Loss (กรัม/ไร่/ปี) , และ K_Loss (กรัม/ไร่/ปี) คืออุณหภูมิของอากาศที่สูงขึ้น , การสูญเสียปุ๋ยไนโตรเจน , ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ที่ขึ้นอยู่กับค่าความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ที่สนใจ
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า สมการดังกล่าวมีความถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงตามกฎของธรรมชาติหรือไม่ เราสามารถตรวจสอบได้โดยการแทนค่า BDV ลงไปในแต่ละสมการ ปรากฏว่าเราพบสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ดังนี้คือ
(1)อุณหภูมิอากาศสูงขึ้นเมื่อป่าอุดมสมบูรณ์ขึ้น! (ขัดแย้งกับสามัญสำนึกทั่วไปและความคาดหวังของผู้ศึกษา) (2) ถ้า BDV=37 จะมีปุ๋ยสองตัวหายไป แต่อีกตัวหนึ่งเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ปุ๋ยทั้งสามตัวอยู่ในดินก้อนเดียวกัน (ฮา!) และ (3) ถ้า BDV เพิ่มจาก 37 ถึง 53 กลับพบว่ายิ่งป่ามีความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นยิ่งมีการสูญเสียปุ๋ย ไนโตรเจนมากขึ้น
นี่มันตรงกันข้ามกับเหตุผลที่ใช้ฟ้องร้องเกษตรกรเลยทีเดียว
ผมจึงเห็นว่าแบบจำลองนี้เชื่อถือไม่ได้ แต่ศาลแห่งหนึ่งได้เขียนในคำพิพากษาว่า “เป็นวิธีคิดคำนวณค่าเสียหายที่น่าเชื่อถือพอสมควร” ผมถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับ!
เขียนโดย ผศ.ประสาท มีแต้ม 13 กุมภาพันธ์ 2012
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.