ปัญหา "โลกร้อน" ไม่ใช่ "แดดร้อน"
วันก่อน (23 พ.ค. 2555) ผมได้มีโอกาสไปให้ความเห็นกรณีแบบจำลองของกรมอุทยานที่ใช้ฟ้องร้องเอาผิดกับชาวบ้านที่ทำกินในที่ของตนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษแต่ถูกทางการประกาศเขตอุทยานทับที่ของตน แล้วถูกลงโทษปรับเป็นหมื่นเป็นแสน ด้านหนึ่งรู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่อยากมีเครื่องมือที่วัดความเสียหายของการตัดไม้ทำลายป่ามาลงโทษผุ้กระทำผิด แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงประชาขนตาดำๆมากกว่า
เพราะแม้นักวิชาการของกรมฯ จะมีความตั้งใจดี แต่ใช้หลักวิชาการผิดพลาดทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสถิติ ทำให้แบบจำลองที่ทำมามีความผิดพลาดจนอย่างมาก และไม่สมควรนำไปใช้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการนำไปเป็นฐานในการปรับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด ความผิดพลาดของแบบจำลองดังกล่าว ได้แก่
1) การขาดการตรวจสอบความถูกต้องของสมมุติฐานทางวิชาการของการวิจัย เช่น
นิยามความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งควรวัดจากจำนวนพันธุ์พืชและสัตว์ต่อพื้นที่ กับวัดจากพื้นที่หน้าตัดของต้นไม้ (นิยามนี้ทำให้พื้นที่ที่มีต้นไม้เชิงเดี่ยว แต่เป็นต้นไม้อ้วนๆ และไม่มีแมลงหรือสัตว์เลย มีความหลากหลายทางชีวภาพที่มากกว่าป่าธรรมชาติ) การกัดเซาะของผิวดินซึ่งไม่แน่ว่าจะขึ้นอยู่กับว่าพื้นดินนั้นมีความเป็นป่าโดยตรง แต่จะขึ้นอยู่กับว่าผืนดินมีพืชหรือสิ่งทับถมตามธรรมชาติคลุมดินมากน้อยแค่ไหนที่จะช่วยกันการกัดเซาะจากฝนและกระแสน้ำ เป็นต้น ผู้วิจัยมีความเข้าใจผิดว่าการตัดไม้ทำให้โลกร้อนขึ้นโดยตรง ซึ่งเป็น "ความเชื่อ" ที่ไม่ถูกต้อง
ปัญหาโลกร้อน ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องควรกล่าวใหม่ว่า เป็นปัญหาที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนร้อนขึ้นจากระดับเมื่อก่อนที่มนุษย์จะมีการพัฒนาอุตสาหกรรม(Industrialization) เพราะการผลิตและการบริโภคของมนุษย์ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษ 1800 เป็นต้นมา ได้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Greenhouse gases (GHGs) [ตัวสำคัญก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียม] ออกมา ก๊าซดังกล่าวสามารถคงสภาพอยู่ได้เป็นร้อยๆปี จึงสะสมในบรรยากาศ และทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect) ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นตัวดูดซับก๊าซ CO2 ถ้ามีต้นไม้มากก็ช่วยดูดซับได้มากนั้นถูกต้อง
การตัดไม้จึงทำให้พืชนั้นไม่สามารถดูดซับ CO2 ไว้ได้เพิ่มเติมอีก แต่ถ้ายังไม่ได้นำไม้นั้นไปเผา (แต่เอาไปทำโต๊ะ เก้าอี้) ก๊าซ CO2 ก็ยังคงถูกเก็บกักไว้ในเนื้อไม้ ดังนั้นผลของการตัดไม้ต่อโลกร้อนจึงมีเฉพาะส่วนที่เราเสียโอกาสใช้มันดูซับ CO2 เพิ่มขึ้น ซึ่งหากตัดไปไม่กี่สิบไร่ดังที่ชาวบ้านทำนั้น ค่าเฉลี่ยสะสมของ ก๊าซเรือนกระจกของโลกนั้นแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
ที่น่าตกใจก็คือผู้วิจัยกลับไปคำนวณผลของการตัดไม้ ด้วยการวัดความแตกต่างของ อุณหภูมิ "ในร่ม กับกลางแจ้ง" ในเวลากลางวัน แล้วสรุปว่าต่างกัน 2.77 องศา ซึ่งเป็นเรื่องของ "แดดร้อน" ไม่ใช่เรื่อง "โลกร้อน" ที่กำลังเป็นปัญหากัน เพราะหากย้อนกลับไปก่อนคริสต์ศตวรรษ 1800 แล้วทำการวัดความแตกต่างระหว่างในร่มกับกลางแจ้ง ยังไงเสียกลางแจ้งก็ต้องร้อน กว่า
สิ่งที่ผู้วิจัยวัดได้ ไม่ผิดหลักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นคนละเรื่องกัน ผลของการตัดไม้ต่อโลกร้อน ควรวัดจากปริมาณ CO2 ที่หมดโอกาสเก็บกักเพิ่ม ที่มีผลต่อการสะสมของ CO2 ของโลกแล้วจึงไปมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งซับซ้อนมากกว่าสมการเชิงเส้นที่ใช้ข้อมูลเพียง 4-5 ตัว อย่างเทียบกันไม่ได้เลย เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ของอากาศ มหาสมุทร และความสัมพันธ์กันกับกิจกรรมของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก
2) การขาดการทบทวนงานวิจัยที่ในวงการวิชาการมีการทำในหัวข้อที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับที่งานวิจัยนี้ทำอยู่แล้ว เพื่อสรุปว่าการศึกษาเรื่องดังกล่าวมีวิธีการใดบ้าง มีข้อดีข้อเสียที่ควรนำมาปรับใช้กับงานของตนอย่างไร และงานวิจัยของตนจะใช้วิธีการอย่างไร เพราะเหตุใด เหมือนหรือต่างจากที่ทำมาแล้วอย่างไร มีข้อดีหรือข้อควรระวังอย่างไร
3) ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ของงานวิจัยมีข้อผิดพลาดทางวิชาการ และหลายส่วนมีข้อสมมุติที่มีหลักวิชาการรองรับ ตัวอย่างเช่น การใช้มูลค่าป่าทั้งผม มาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าความเสียหาย ซึ่งดูเผินๆ อาจดูมีเหตุผล โดยอ้างว่าเป็นวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์ แต่นักเศรษฐศาสตร์จะใช้เครื่องมือทางราคาในการแก้ไขปัญหาผลกระทบภายนอก (Externalities) นั้น ไม่มีแนวคิดเช่นนี้ เพราะนักเศรษฐศาสตร์เข้าใจว่าการใช้ทรัพยากรนั้นมีทั้งคุณและโทษ
การตัดไม้ให้ให้คุณประโยชน์กับผู้บริโภคในแง่ของประโยชน์ใช้สอย แต่ขณะเดียวกันก็สร้างโทษแก่ผู้อื่น (หรือที่เรียกว่าผลกระทบภายนอก) ด้วย เช่น ทำให้ควบคุมน้ำป่าได้น้อยลง ทำให้สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น
หลักการทางเศรษฐศาสตร์จึงมีลักษณะสายกลาง คือหากจะใช้การปรับหรือภาษีในการกำกับดูแลการใช้ป่า ก็ควรจะปรับตามค่าของต้นทุนผลกระทบภายนอก (Marginal external cost) ณ จุดที่ ผลประโยชน์ส่วนเพิ่มของสังคม (ในที่นี้มาจากประโยชน์ทั้งหลายจากการใช้ป่า) เท่ากับ ต้นทุนส่วนเพิ่มของสังคม (ในที่นี้จะเท่ากับต้นทุนที่เอกชนจ่ายในการใช้ทรัพยากรป่า บวกกับต้นทุนผลกระทบภายนอกทั้งหมด) ซึ่งเป็นไปตามหลักของ Puguvian tax แบบจำลองดังกล่าวยังอ้างวิธีการคำนวณมูลค่าด้วยวิธี ต้นทุนในการทดแทนให้เหมือนเดิม (Replacement costs) ด้วย
ซึ่งยังขาดความระมัดระวังในการใช้ที่สำคัญคือ วิธีนี้มีแนวโน้มที่จะให้ค่าที่ประเมินสูงเกินจริง (over estimate) ผู้วิจัยยังมีการใช้วิธีวิเคราะห์สมการเชิงถดถอย (Multiple regression) ด้วย แต่ก็มีปัญหาความน่าเชื่อถืออย่างมากจนค่าที่ได้ไม่น่ามีความหมายใดๆ ที่สมควรนำไปใช้ต่อ เช่น ขาดที่มาเชิงวิทยาศาสตร์ของสมการที่ใช้ ว่าเหตุใดจึงใช้ตัวแปรอิสระดังกล่าวในการอธิบายตัวแปรตามที่ต้องการประเมิน รูปสมการที่เหมาะสมควรเป็นเชิงเส้นตรง ไม่เป็นรูปแบบอื่น จำนวนข้อมูลที่เก็บมีน้อยเกินไป (ข้อมูล 4 ปี แต่มีตัวแปรอิสระ 3-4 ตัว) หลายสมการที่ประเมินได้มีค่า R-square ต่ำมาก (ต่ำกว่า 0.1) แต่กลับนำเอาค่าของหลายสมการที่สูงมาเฉลี่ยให้ค่าสูงขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์ประเมินได้ไม่มีค่า t-statistics หรือค่าสถิติอื่นกำกับเพื่อแสดงว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด และยังเก็บข้อมูลจากเพียงแหล่งเดียวแต่นำผลไปใช้ทั่วประเทศ ปัญหาความน่าเชื่อถือของงานวิจัยดังกล่าวในเชิงวิธีวิจัยยังมีอีกมาก
แต่ที่อยากจะชี้เพิ่มเติมก็คือว่าผลการคำนวณที่ทำได้นั้นสูงกว่าที่นักวิจัยอื่นๆ ในต่างประเทศที่มีผลงานตีพิมพ์ไว้อย่างน่าตกใจ เพราะแม้จะเอาของผู้ที่ประเมินผลของการป่าไม้ต่อภาวะโลกร้อนที่สูงที่สุดที่พอหาได้ในเบื้องต้นมาเทียบแล้ว ก็มีค่าเพียงไม่ร้อยละ 16 ของที่แบบจำลองของกรมฯ ประเมินได้ การนำข้อมูลนี้ไปใช้ปรับชาวบ้านจึงไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง
ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งที่อยากฝากไว้ก็คือหนังสือพิมพ์บางฉบับได้นำผลของการเสวนาดังกล่าวไป post ให้ผู้อ่าน ว่า "นักวิชาการอ้างโลกร้อนไม่ได้เกิดจากการตัดไม้ ชี้ “แบบจำลองคดีโลกร้อน"กรมอุทยานฯ-ป่าไม้ไร้คุณภาพทำชาวบ้านเดือดร้อน" ผู้อ่านหลายคนที่ยังไม่ได้พิจารณารายละเอียดของเนื้อหาการเสวนา ก็รีบด่วนสรุปว่า "เฮ้อ น่าสมเพชความคิดของนักวิชาการยุคใหม่ หวังที่ตรงไหนทำรีสอร์ท รึ" เมื่ออ่านตรงนี้แล้วก็สมเพช ประเทศไทย ว่า เป็นสังคมที่ยังขาดเหตุผล และความเป็นวิทยาศาสตร์ และด่วนตัดสินคนอย่างผิวเผินเหลือเกิน
เขียนโดย ชยันต์ ตันติวัสดาการ /27 พฤษภาคม 2012
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.