• หน้าแรก
  • มูลนิธิชีวิตไท - แก้หนี้ชาวนา

ชาวนากับอาชีพเสริม บทเรียนการปรับตัวเพื่อแก้หนี้ชาวนา

boonchoomaneewong

{phocadownload view=youtube|url=https://youtu.be/n0FmVbECz5A}

ขอขอบคุณ

บุญชู มณีวงษ์
กลุ่มพันธมิตรเกษตรกรบ้านนางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
 
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ผลิตโดย มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)

 

น้ำส้มควันไม้ (Wood Vinegar)

numsomkwanmai

น้ำส้มควันไม้ (Wood Vinegar)

ผลิตภัณฑ์จากชาวนา กลุ่มส่งเสริมการเกษตรครบวงจร อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท

ราคาขวดละ 60 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)

ปริมาณ 500 มิลลิกรัม

ประโยชน์และวิธีใช้ :

  • ป้องกันแมลงศัตรูพืช ขับไล่แมลง หนอน เพลี้ย เชื้อรา โรคพืช ใช้ได้กับพืชทุกชนิด ผสม 5 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ฉีดได้ทั้งต้น ทุกๆ 5-7 วัน
  • ป้องกันเชื้อราทางดิน ผสม 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นลงดินก่อนปลูกพืช 15 วัน และพ่นได้ทุกระยะของการปลูกพืช
  • ขับไล่ เห็บ หมัด ยุง รักษาโรคเรื้อนในสัตว์ ผสม 10ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นที่ตัวสัตว์ อาบน้ำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
  • กำจัดกลิ่นขับถ่ายสัตว์เลี้ยง ขับไล่แมลงตามที่นอนสัตว์เลี้ยง ผสม 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ราดน้ำหรือฉีดพ่นบริเวณที่สัตว์อยู่อาศัยหรือขับถ่าย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
  • กำจัดกลิ่นในครัวฉีดพ่นหรือราด กำจัดกลิ่น เหม็น เน่าของเศษอาหาร กลิ่นท่อระบายน้ำ กลิ่นเหม็นของห้องน้ำ กลิ่นถังขยะ ป้องกันแมลงวันวางไข่ ผสม 20 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ใช้ได้ทุกวัน หรือวันเว้นวัน
  • กำจัดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ในบ้าน ผสม 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นหรือราด กำจัดกลิ่น เหม็นเน่าของเศษอาหาร กลิ่นท่อระบายน้ำ กลิ่นเหม็นของห้องน้ำ กลิ่นถังขยะ ป้องกันแมลงวันวางไข่ ผสม 20 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร ใช้ได้ทุกวัน หรือวันเว้นวัน

😻สนใจสั่งซื้อ

ติดต่อผ่าน “อินบ็อกซ์” เพจ : นาเคียงเมือง https://web.facebook.com/NaKiangMuang  หรือ โทร. 02-048-5465

 

ภาวะสงคราม ปุ๋ย-น้ำมันแพง วิกฤตแห่งโอกาสที่ “ชาวนา” ต้องปรับตัว

 BoonchuManeewong

จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่นำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นผลกระทบต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ราคาน้ำมันดิบและราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อราคาปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักของเกษตรกรมีราคาสูงขึ้น เมื่อดูราคาเปรียบเทียบปุ๋ยเคมีในปี 2565 ที่ปรับราคาสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีราคาอยู่ที่กระสอบละ 700 บาท แต่ในปี 2565 มีราคาอยู่ที่กระสอบละ 1,300-1,600 บาท และราคาน้ำมันที่ในปีที่แล้วราคา 23-35 บาทต่อลิตร แต่ในปี 2565 ราคาอยู่ที่ 35-45 บาทต่อลิตร จากราคาปุ๋ยและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ส่งผลกระทบทำให้ชาวนาและเกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูง ชาวนาบางพื้นที่ต้องหยุดทำนาชั่วคราวเนื่องจากแบกรับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ไหว ชาวนาบางรายต้องเสียค่าเช่านาเนื่องจากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และชาวนาหลายคนมีภาระหนี้สินจำนวนมาก และอยู่ในวงจรเงินเชื่อปัจจัยการผลิตและการหมุนหนี้ ส่งผลให้การปรับตัวยาก

ความท้าทายของชาวนาและเกษตรกรที่มีภาระหนี้สินในการปรับตัวลดต้นทุนการผลิต ซึ่งไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนจากปุ๋ยเคมีราคาแพงมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น แต่ต้องปรับระบบการผลิตอินทรีย์ สู่การผลิตแบบพึ่งพาตนเอง ทั้งปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช  ซึ่งการปรับเปลี่ยนต้องใช้เวลา ผลผลิตข้าวอาจลดลง นั่นอาจหมายถึงรายได้ที่ลดลง โดยมีตัวอย่างความพยายามของกลุ่มชาวนาที่มีหนี้สิน และปรับรูปแบบการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างรายได้จากการขายข้าวด้วยตนเอง กลุ่มพันธมิตรการเกษตรบ้านนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีประธานกลุ่ม คุณบุญชู มณีวงษ์ ได้บอกเล่าว่าทางกลุ่มได้ปลูกข้าวแบบลดต้นทุนภายหลังประสบปัญหาปุ๋ยแพง น้ำมันแพง ดังนี้

ต้นทุนการทำนาเปรียบเทียบรอบก่อนและหลัง ปี 2564 และ ปี 2565 ดังนี้ 1. ค่าไถดะ ไถแปร ลูบเทือก ราคาค่าจ้างอยู่ที่เดิมไร่ละ 500 บาท ปัจจุบันไร่ละ 600 บาท 2. เมล็ดพันธุ์ข้าว 1 ไร่ใช้เมล็ดพันธุ์หอมมะลิ 25 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็น 800 บาทต่อไร่ ราคาเท่าเดิม 3. ค่าจ้างหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวใช้แรงงานตนเอง 4. ค่าปุ๋ย 1 ฤดูให้ปุ๋ย 3 รอบ ให้อย่างต่ำครั้งละ 25 กิโลกรัม   (ครึ่งกระสอบ) ต่อไร่ โดยราคาปุ๋ยชีวภาพกึ่งเคมีเดิมอยู่ที่ 700-800 บาทต่อกระสอบ ปัจจุบันอยู่ที่ 1,200-1,300 บาทต่อกระสอบ คิดเป็นต้นทุนต่อฤดูกาลอยู่ที่ 1,200-1,300 บาทต่อไร่ แต่หากดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นก็อาจปรับมาใช้ปุ๋ยชีวภาพเต็มรูปแบบราคาจะอยู่ที่ 500 บาทต่อกระสอบ 5. ค่าจ้างหว่านปุ๋ย ใช้เรงงานตนเอง  6. ค่าฮอร์โมนเร่งใบ ขวดละ 400-600 ต่อไร่อยู่ที่ 50-100 บาท 7. ค่ารถเกี่ยวข้าว 500 บาทต่อไร่ 8. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเดิมอยู่ที่ 1,300 บาทต่อไร่ ปัจจุบันอยู่ที่ 1,785 บาทต่อไร่ โดยคำนวณต้นทุนการทำนาทั้งหมดจะอยู่ที่ 5,000 บาทต่อไร่ และผลผลิตข้าวที่ได้ต่อไร่จะได้ 600-800 กิโลกรัม ซึ่งหากทำนาปกติแบบไม่ลดต้นทุนก็มีจะต้นทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 บาทต่อไร่ และหากมีค่าเช่านาจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นไปอีก การปลูกข้าวแบบลดต้นทุนถือว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 1,000 บาทต่อไร่เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ด้วยวิกฤตต้นทุนการทำนาที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2565 บุญชูและสมาชิกกลุ่มฯ  ได้ลดการทำนาลงจากการทำนา 3 ครั้งต่อปี มาเป็นทำนา 2 ครั้งต่อปีแทน โดยถือเป็นการพักหน้าดินและระหว่างที่พักก็หมักปุ๋ยหมักดิน ให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ไว้เพื่อลดต้นทุนค่าปุ๋ยในรอบการผลิตครั้งต่อไป

บุญชูและสมาชิกกลุ่มฯ จะเน้นเรื่องการพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุดในการผลิตข้าว เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตที่มีราคาสูงขึ้นทุกวัน นอกจากการทำข้าวแบบลดต้นทุนแล้วทางกลุ่มยังนำข้าวที่ได้มาสีเป็นข้าวสารแพ็กใส่ถุงขายเองอีกด้วย รูปแบบการขายข้าวขึ้นอยู่กับลูกค้า หากเป็นลูกค้าชาวบ้านจะขายบรรจุกระสอบ กิโลกรัมละ 30 บาท หากซื้อถุง 1 กิโลกรัม ราคา 35 บาท และถุงแพ็กแบบสุญญากาศ ก็จะขายที่กิโลกรัมละ 50-55 บาท

บุญชูกล่าวว่า “ทางกลุ่มยังคงขายข้าวราคานี้ แม้จะเจอผลกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะหากปรับราคาให้สูงขึ้นตามท้องตลาดก็กลัวว่าชาวบ้านและผู้บริโภคที่ซื้อข้าวจากทางกลุ่มจะยิ่งลำบากในช่วงที่สินค้าต่างๆ พากันขึ้นราคากัน ข้อดีของการทำข้าวขายเองคือเรามีข้าวเก็บไว้กินเองด้วย ที่เหลือก็แบ่งขาย ถ้าขายให้โรงสีเป็นข้าวเปลือกจะได้ 6,000-6,500 บาทต่อเกวียน แต่ขายเองเป็นข้าวสาร 13,000-15,000 บาทต่อเกวียน ข้าวที่ทำก็ดีต่อสุขภาพเพราะทำข้าวแบบปลอดสาร จากเดิมด้วยความไม่รู้ อยากจะได้ข้าวปริมาณมากๆ ก็ทำแบบใส่ปุ๋ยเคมีใส่สารเคมี ผลสุดท้ายเราก็ต้องใช้เงินนั้นมารักษาตัวเอง ตอนนี้ชาวนาที่กลุ่มเราปลูกข้าวกินกันเอง เราไม่ค่อยเจ็บป่วย แข็งแรง ทำงานได้ปกติ ดีกว่าเราไปกินข้าวตามท้องตลาดที่เราไม่รู้ที่มาและขั้นตอนการผลิตว่าเป็นอย่างไร”

นอกเหนือจากการทำนา ทางกลุ่มยังให้ความสำคัญกับการสร้างช่องทางรายได้หลากหลายช่องทาง ทำอาชีพเสริมรายได้ ไม่ทำนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันทางกลุ่มมีผลิตภัณฑ์ ขนมปังอบกรอบ มะม่วงแช่อิ่ม อัญชันและสมุนไพรอบแห้ง เพื่อเป็นรายได้เสริม รวมถึงการปลูกผักสวนครัวไว้กินเองกันในครอบครัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

สุดท้ายคุณบุญชู มณีวงษ์ ฝากไว้ว่าชาวนายุคปัจจุบันที่เผชิญภาวะวิกฤตรอบด้าน ทั้งภาวะต้นทุนและปัจจัยการผลิตสูง กำหนดราคาเองไม่ได้ ภาวะหนี้สูง นอกเหนือจากการเรียกร้องเชิงระบบและการปรับโครงสร้างให้เกิดความเป็นธรรม ชาวนาต้องปรับตัวเองด้วยจึงจะอยู่รอด ทั้งปรับตัวด้านการผลิต การตลาด การบริหารการเงินและพึ่งพาตนเองด้านอาหาร จึงจะเกิดความยั่งยืนและมั่นคงในการทำนา ทั้งนี้ข้าวที่ปลูกเรามั่นใจได้ว่าดีต่อสุขภาพทั้งคนปลูกและคนกิน จึงจะเกิดความอยู่รอดร่วมกัน

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 21 มิ.ย. 2565

ผู้เขียน : สุชาดา ทรงบัญฑิต

เปิดปูม ชีวิต(ห)นี้ เกษตรกรไทย ทำไมต้องกู้?

 

FarmerDebtSeminar2021

ค้นหาปัญหาหนี้ชาวนา ทุกข์ที่ยังอยู่คู่กับเกษตรกรไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

แบกชีวิตพอเกิดมาก็เป็นหนี้

อยู่อย่างนี้ทำอย่างไรก็ไม่พ้น

อยากจะมีเงินไม่พอต้องขอผ่อน

หากเดือดร้อนก็จะยอมสู้อดทน

ความทุกข์หนึ่งที่ยังอยู่คู่กับเกษตรกรไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา  นั่นคือการที่เกษตรกรไทยต้องมีชีวิตผูกพันหนี้สิน

“หนี้” คือบ่อเกิดความจนซ้ำซ้อน และซ้ำซากของเกษตรกรไทย เป็นหนังชีวิตเรื่องเก่าที่เล่าสืบต่อมานานนม ที่ไม่ว่าประเทศไทยจะพัฒนาเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใด... ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม หรือยุคดิจิทัล หนี้ยังเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในสังคมเกษตรของไทยไม่สิ้นสลาย

และยังบาดใจพอๆ กับ เนื้อเพลง “ชีวิตหนี้” ที่กำลังสะท้อนชีวิตเกษตรกรไทยเอาไว้อย่างหมดจด

ชีวิตหนี้เกษตรกรยุคดิจิทัล

“เมื่อรายรับมันไม่พอรับรายจ่าย ต้องกินต้องใช้ ทำอย่างไรก็กู้เขา”

ทำไมปัญหาหนี้ชาวนาเกษตรกรเป็นวงจรที่ไม่เคยจบสิ้น?

หากค้นหาต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เกษตรกรไทยถูกกัดกร่อนด้วยหนี้สินมาอย่างยาวนาน จะพบต้นตอปัญหาที่ “หยั่งรากลึก” กว่าที่คิด จากการศึกษาหนี้เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นการนำไปใช้จ่ายในครัวเรือน ไม่ใช่เพื่อการเกษตรอย่างเดียว เมื่อเกษตรกรขาดความสามารถในการชำระหนี้ จึงเกิดจากปัญหาผิดนัดชำระ ทำให้โดนดอกเบี้ยค่าปรับที่สูงพอกพูน

ที่สำคัญ “ปัญหาหนี้เกษตรกร” นั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาเกษตรกรคนเดียว หากแต่เป็นเรื่องที่ “ทุกคน” ในสังคมไม่ควรเพิกเฉย  มูลนิธิชีวิตไท (โลโคลแอค) จึงร่วมกับสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร(กฟก.) และศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พากันชักชวนเหล่านักวิจัย นักคิด และเกษตรกรชีวิตหนี้ตัวจริง จับมือกันสกัดบทเรียนจากประสบการณ์จริง เพื่อร่วมระดมหาทางออก ในเสวนาวิชาการสาธารณะเรื่อง "ชีวิตหนี้...นิยามใหม่การปรับตัวชาวนายุคโควิด-19 "  สะท้อนชีวิตจริงเกษตรกรไทย ท่ามกลางสังคมภายนอกที่ตั้งคำถามว่า  “แล้วทำไมไม่เปลี่ยน”

 

เริ่มจากมาฟังผลการตรวจสุขภาพทางการเงินเกษตรกร จาก ผศ.ดร.ชญานี ชวะโนทย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้ข้อมูลว่า จากการวิจัย รายได้ชาวนาและเกษตรกรนั้นไม่สม่ำเสมอ มีรายได้เป็นฤดูกาล ไม่ใช่รายได้ประจำ

“รายรับมาเป็นรอบๆ แต่รายจ่ายมีทุกวัน”

เมื่อขัดสนเกษตรกรจึงเลือกที่จะ ยืม กู้ (สิน)เชื่อ เพื่อนำมาซื้อปัจจัยการผลิตและใช้จ่ายครัวเรือน

มีเพียงเกษตรกร 20% เท่านั้นที่ใช้เงินออมในการลงทุนด้านปัจจัยการผลิต

แม้แนวทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือเกษตรกรควรมีรายได้มาจากหลายช่องทาง

“แต่ถามว่าทำไมเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเขาไม่มีทุน การจะเปลี่ยนอะไรต้องใช้เงินลงทุน”

ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤต อย่างเช่นกรณีโควิด 19 ทำให้รายได้ครัวเรือนของเกษตรกรลดลง ส่งผลต่อความสามารถชำระหนี้ โดยเกือบ 60% ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้

“พอจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมดมีแต่จ่ายดอกเบี้ย แต่ต้นไม่ลดเลย ทำให้เขาท้อ ดังนั้นการคิดดอกเบี้ยแบบนี้จึงไม่เหมาะสมกับเกษตรกร  หากให้เขาเลือกจ่ายเป็นรอบการผลิต หรือจ่ายแบบย่อยรายเดือนละไม่เกิน 500-1,000 บาท เขายังสามารถชำระหนี้ได้”

ดังนั้น ข้อเสนอสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ที่จะแก้ปัญหาได้คือ การให้ความสำคัญแก่การจ่ายคืนเงินต้น มากกว่าการจ่ายคืนแค่ดอกเบี้ย ตลอดจนการให้ความรู้ทางการเงินแบบที่เข้าใจง่ายต่อเกษตรกร รวมถึงการอาจต้องมีเครื่องมือช่วยจัดการความเสี่ยง เช่นการประกันภัยพืชผล การใช้เทคโนโลยีเก็บข้อมูลวางแผนผลผลิต เป็นต้น

หนี้พอกหางหมู

ด้าน จารุวัฒน์ เอมซ์บุตร นักวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้วิจัยโครงการศึกษาตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้สินและรักษาที่ดินของเกษตรกร บอกเล่าที่มาว่า การที่เกษตรกรเป็นหนี้เกิดจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้วยปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ผลผลิตตกต่ำ ความผันผวนของธรรมชาติ ความไม่แน่นอนของผลผลิตที่ได้ และกลไกราคาสินค้าเกษตรที่อำนาจต่อรองอยู่ในมือของ “นายทุน” หรือ “เจ้าหนี้”  ตลอดจน ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ไม่นับรวมวิกฤตต่าง ๆ ที่โหมกระหน่ำเข้ามาในแต่ละครั้ง

เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการตอกย้ำเหตุผลที่ทำให้ “วงจรหนี้” ชาวนาไทย

“โครงการมีการศึกษากลุ่มเกษตรกรตัวอย่าง 10 ราย ที่เคยเป็นหนี้และสามารถแก้ปัญหาหนี้ของตัวเองได้ในหลายพื้นที่ พบว่าปัจจัยที่จะทำให้เกษตรกรหลุดพ้นจากหนี้ คือ หนึ่งเกิดจาก ปัจจัยส่วนบุคคล โดยเกษตรกรที่มีความซื่อสัตย์ จริงใจและมีใจสู้ปัญหา มักประสบความสำเร็จในการปลดหนี้ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านครอบครัวคือการมีบุตรหลานก็มีส่วนสำคัญ  เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ลูกหลานแบกรับภาระหนี้ของตนเอง” จารุวัฒน์เล่าถึงผลการถอดบทเรียน

ในแง่ทางออกยั่งยืน จารุวัฒน์เผยว่าเกษตรกรเหล่านี้มักจะพยายามค้นหาความรู้เพิ่มเติมด้านการประกอบอาชีพการเกษตรของตนเองมากขึ้น เช่น การรู้จักประหยัดต้นทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลดการขาดทุน 

เขาบอกว่าเกษตรกรส่วนใหญ่รู้ดีว่าการลดต้นทุนเป็นทางแก้ปัญหา หรือการหารายได้เสริมมีความสำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถทำได้ เช่น การมีทุนจำกัด ทำให้พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะทดลองลงทุนสิ่งใหม่ ๆ

อีกบทเรียนสำคัญที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้คือ การค้นพบว่าปัญหาที่แท้จริงของการติดอยู่ในกับดักหนี้สินของเกษตรกร อาจเกิดจากการที่เกษตรกรไม่สามารถคาดเดาผลผลิตได้ หรือรายได้ได้

“เกษตรกรกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อลงทุนก่อนการผลิต ทุกคนต่างคิดหรือมีความตั้งใจดีที่จะใช้หนี้สิน แต่เมื่อผลผลิตออกมาไม่ตรงตามความคาดหมาย ทำให้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งปัจจุบันการมีพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ถือเป็นกลไกสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยให้เกษตรกรได้มีโอกาสพักชำระหนี้และฟื้นฟูตนเองในการประกอบอาชีพ เพื่อที่จะมีรายได้เพียงพอในการนำเงินไปชำระหนี้ได้ดีขึ้น

“แต่จากการถอดบทเรียน เรามีข้อเสนอในการพัฒนากองทุนให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้มากขึ้น คือ หนึ่ง กองทุนฯ ควรมีการสื่อสารที่ชัดเจนขึ้นในบทบาทของกองทุนฯ สอง การติดตามสอดส่อง ดูแลพัฒนาศักยภาพผู้นำกลุ่ม ผู้นำกลุ่มกองทุนฟื้นฟูมีความสำคัญมาก หากมีความเข้มแข็งก็จะทำให้กลุ่มมีประสิทธิภาพและเดินไปตามแนวทางที่ดี และสาม การสร้างความหลากหลายของช่องทางการสื่อสาร รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนต้องรวดเร็วและทันการณ์ นอกจากนี้ การให้ข่าวสารข้อมูล การคาดการณ์เกี่ยวกับผลผลิต การตลาด ราคาสินค้า พิบัติธรรมชาติหรือความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นล่วงหน้าแก่เกษตรกร จะช่วยได้ ตลอดจนการหาช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าหรือทำการตลาดช่วยเกษตรกร” จารุวัฒน์กล่าว

เพ็ญนภา หงษ์ทอง นักวิจัยอิสระ ของโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านคดีหนี้สินเกษตรกร เล่าถึงกระบวนการยุติธรรมคดีหนี้เกษตรกรว่า เมื่อเกษตรกรถูกฟ้องหรือตกเป็นจำเลยคดีหนี้สิน มักไม่สามารถที่จะรับมือในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพราะเกษตรกรรู้ไม่เท่าทันกระบวนการกฎหมายหรือสิทธิของตนเอง

“ส่วนใหญ่เมื่อได้รับหมายศาลเลือกที่จะไม่ไปศาล เพราะเขาไม่รู้ว่าไปแล้วได้อะไรบ้าง หรือไม่มีความรู้และไม่สามารถหาทนายความไปขึ้นศาลด้วยได้ จึงเลือกที่จะไม่ไปสู้คดี”

บางรายไปแล้ว ก็ต้องเจอกับทนายความเจ้าหนี้ที่มักมีกลเกมในการทำเจรจาหรือทำข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์แก่เจ้าหนี้  หรือทำให้ลูกหนี้เสียเปรียบ

“หนี้จากการกู้ค้ำประกันเป็นปัญหามากสำหรับเกษตรกร และเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านถูกฟ้องร้องเยอะ ปัจจุบันมีเกษตรกรเป็นหนี้ค้ำประกันถึง 5,000 ล้านบาท ส่วนหนี้จดจำนองส่วนใหญ่เริ่มจากการเป็นหนี้นอกระบบ นั่นคือการเอาโฉนดไปจำนองไว้  แต่เจ้าหนี้นอกระบบบางรายยึดโฉนดที่ดินไว้และให้ลูกหนี้เซ็นมอบอำนาจ แล้วจงใจปล่อยให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ตรงระยะเวลาที่กำหนด จนทำให้ดอกทบสูงจนไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ก็มักถูกเจ้าหนี้นำดอกและสินทรัพย์มาแปลงให้กลายเป็นหนี้ในระบบ โดยเจ้าหนี้ก็จะแอบนำไปจดจำนองโดยลูกหนี้ไม่รู้เรื่อง หรือไม่ก็บังคับให้ลูกหนี้จดจำนองภายหลัง” เธอเล่าเบื้องหลังเบื้องลึก

ทางออกของปัญหานี้ เพ็ญนภาแนะว่า จำเป็นต้องมีผู้รู้หรือหน่วยงานทางกฎหมายเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางศาลระหว่างโจทย์ (เจ้าหนี้) และจำเลย (เกษตรกร) เพื่อสร้างข้อตกลงประนีประนอม หรือให้การพิพากษาที่เป็นธรรมต่อเกษตรกรมากที่สุด นอกจากนี้การช่วยเหลือทางคดีนี้ยิ่งเร็วยิ่งมีประสิทธิภาพ

ปรับภูมิทัศน์ใหม่ ปรับหนี้

อีกมุมมองหนึ่งจาก เกียรติศักดิ์ ยั่งยืน นักวิชากรอิสระ ได้ร่วมเสนอแนวทางการจัดปรับภูมิทัศน์และความสัมพันธ์ใหม่ในระบบการผลิตและตลาดสู่วิถีอินทรีย์แก่ชาวนาที่มีหนี้สิน  โดยกล่าวว่า เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ และเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเกษตรกรกับสังคม ผู้ประกอบการ การตลาด ชุมชน หรือ ผู้บริโภค เป็นต้น

โดยบทเรียนจากกรณีศึกษาที่ตนเองได้ทำการแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเกษตรกร 3 กลุ่มที่เคยมีหนี้สินมาก่อน ได้ข้อสรุปว่าหากเกษตรกรที่เป็นหนี้สินอยากจะออกจากวงจรหนี้หรือแก้ปัญหาหนี้ให้เบาลง จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการหรือมีศักยภาพดังนี้

“เกษตรกรทำนาสามรอบ แต่ไม่รวย กลับมีแต่เพิ่มหนี้จากต้นทุน เพราะไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตได้ เกษตรกรที่มีหนี้ควรเข้าสู่กองทุนฟื้นฟูเกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน เพราะจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง ส่วนการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรต้องมีการสร้างทางเลือกที่อาชีพหลากหลาย หรือมากกว่าทางเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ ปลูกชนิดอื่น หรือไปทำอาชีพเสริมอื่น แปรรูปการเกษตร เป็นต้น รู้จักการบริหารการใช้ประโยชน์ที่ดินนอกจากนี้เกษตรกรต้องมีความสามารถทำการตลาดได้เอง และชาวนาต้องเป็นผู้มีอำนาจในการต่อรอง ต้องรวมกลุ่ม ต้องมีความเข้มแข็ง”

สำหรับการปรับตัวสู่ระบบการผลิตด้วยเกษตรอินทรีย์ จะเป็นหนทางช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต เพราะลดการใช้สารเคมีทำให้ช่วยลดต้นทุนได้  

“เกษตรกรควรพัฒนาช่องทางการตลาดเกษตรอินทรีย์ โดยเริ่มจากตลาดในชุมชนเองได้ เพราะคนในชุมชนเองก็มีต้องการอาหารปลอดภัย รวมถึงหาตลาดเทศกาล เชื่อมโยงเอกชน ภาครัฐ ออนไลน์ หรือระบบสมาชิก พรี ออร์เดอร์ เป็นต้น”

บุญชู มณีวงษ์ กลุ่มพันธมิตรเกษตรกรบ้านนางบวช เผยถึงชีวิตหนี้ของตนว่า เกิดจากการทำเกษตรที่ได้ผลผลิตไม่แน่นอน บางปีประสบปัญหาภัยแล้ง เพลี้ยแมลงลง ระยะหลังทำแล้วขาดทุนหมดทุกรอบ จนต้องเผชิญปัญหาหนี้สิน ซึ่งเริ่มจากการเป็นหนี้ ธกส. แล้วไปกู้หนี้นอกระบบทำให้เพิ่มหนี้จากสองแสนเป็นห้าแสน หลังมีหนี้สินมากมาย บุญชูดตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลุกขึ้นมาปลูกข้าวหอมมะลิแทน รวมถึงหาทางช่องทางสร้างรายได้เสริมทั้งขายยำ ขายอาหาร มะม่วง ขนมปัง ทำทุกอย่างเพื่อปลดหนี้

“ ตอนที่ปลูกข้าว กข แม้ผลผลิตต่อไร่เยอะกว่าแต่ราคาตกต่ำ ปลูกข้าวหอมมะลิได้น้อยกว่า แต่หอมมะลิขายได้ราคาดีกว่า เพราะขายปลีกเพื่อนบ้านในชุมชน พอลูกเรียนจบทำงาน ก็มาช่วยเราผ่อนหนี้สินก็เลยดีขึ้น”

สุนทร คมคาย เป็นเกษตรกรอีกรายที่มีหนี้สินล้นตัว เขาสารภาพว่าเคยเป็นหนี้สูงถึงสามล้านบาท

“เราทำไร่อ้อย มันสำปะหลัง ต้องลงทุนเครื่องจักร จึงไปกู้เงินมาเพื่อซื้อเครื่องจักร”

แต่หลังเผชิญหนี้หนัก ความคิดเขา “เปลี่ยน” สุนทรหันมาสู่วิถีการทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน ทั้งทำนาอินทรี เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี ปลูกสมุนไพรส่งให้ทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศฯ ทำให้เขาสามารถค่อยปลดปลงหนี้ที่มีได้มากขึ้น

“เรามีช่องทางมากขึ้นในการสร้างรายได้ การหันมาวิถีอินทรีย์มีความเสี่ยงปัญหาผลผลิตน้อยลง การทำเกษตรอินทรี ผสมผสานทำให้มีรายได้ทั้งรายปี รายเดือนและรายวัน แตกต่างกับการปลูกพืชไร่ ที่ได้เป็นงวด”

สุนทรแนะนำเพื่อนเกษตรกรว่า การทำเกษตรต้องมีหลายช่องทางเพื่อกระจายความเสี่ยง

“การทำตลาดก็เป็นเรื่องสำคัญ เกษตรกรควรรู้ว่าควรปลูกอะไรแล้วจะขายได้แน่นอน ราคาแค่ไหน ที่สำคัญการเป็นเกษตรกรมันแตกต่างกับการทำงานในเมือง เป็นเกษตรกร ต้องใช้จ่ายพอเพียง จะใช้แบบเดิมไม่ได้”

 161519293522

หา “หลังพิง” ให้เกษตรกรไทย

เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์เสริมว่า เมื่อก่อนการกู้ค้ำประกันกลุ่ม สามารถช่วยไห้เกษตรกรหันมากู้ในระบบมากขึ้น แต่ด้วยสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป อาจกลายเป็นภาระหนี้ข้ามรุ่น ส่งต่อหนี้ถึงลูกหลาน เห็นได้ว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเกษตรกร เรื่องระยะสั้นหรือส่วนบุคคล แต่เป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจประเทศระยะยาว

ดร.เดชรัตนำเสนอแผนการฟื้นฟูและแก้ปัญหาเกษตรกรผู้เผชิญหนี้  3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรกต้องมีการเปลี่ยนกติกาใหม่ให้มีความเป็นธรรมต่อเกษตรกรลูกหนี้มากขึ้น เช่น ควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยปรับหรือผิดชำระใหม่จากเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 15 มาเป็นการบวกเพิ่มไม่เกินร้อยละ 1-3 จากอัตราดอกเบี้ยเดิมเท่านั้น

หรือควรปรับระบบหักดอกเบี้ย มาเป็นการหักในสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลดลงพร้อมกันทุกครั้ง เพื่อให้เกษตรกรมีกำลังใจชำระหนี้

ขั้นตอนที่สอง ควรเกิดการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยกลไกปกติ แต่ปัจจุบัน แต่ละปี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์มีคดีหนี้สินพักชำระหนี้อยู่ประมาณ 3,000,000 ราย มี 800,000 รายที่ต้องปรับโครงสร้างหนี้ และฟื้นฟูรายได้ หรือประมาณ 28% แต่ธกส. ช่วยได้เพียง 40,000 ราย ส่วนเกษตรกรที่เข้าโครงการของกองทุนฟื้นฟูประมาณ 500,000 ราย ซึ่งปัจจุบันสามารถช่วยได้แล้ว 30, 000 ราย ซึ่งแม้จะช่วยเต็มที่ แต่จะเห็นว่าความสามารถในการช่วยเหลือไม่เพียงพอกับขนาดปัญหา ดังนั้นควรมองหาว่าทำอย่างไรที่จะช่วยให้ได้มากขึ้น

ขั้นตอนที่สาม การเพิ่มทางเลือกและขีดความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกร ทางหนึ่งคือการช่วยให้เกษตรกรเพิ่มขีดความสามารถในการชำระหนี้ เช่น มีกองทุนฟื้นฟู หรือกลไกอื่นก็ได้จะเข้ามาซื้อหนี้จากเจ้าหนี้เดิม ปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างการผลิต ส่วนเกษตรกรและทายาทที่ไม่ประสงค์จะทำเกษตรกรในเกษตรในที่ดินนั้นแล้ว ทางเลือกคือให้นำที่ดินเขาที่มีอยู่มาเช่าที่ดินหรือใช้ประโยชน์ที่ดินในระยะยาว อาทิ ปลูกต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าเนื้อไม้ในระยะยาว หรือการขายแบบผ่อนชำระที่เรียกว่า Reverse Mortgageให้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นทางเลือกในการรักษาที่ดินแปลงนั้นเผื่อไว้ในอนาคต ส่วนเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินจำเป็นต้องมีการสร้างงานขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรเหล่านี้

“ที่จริงเกษตรกรกลุ่มนี้มีหนี้โดยเฉลี่ยประมาณ 68,000 บาท ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้จะอยู่ที่ 400,000 บาทโดยเฉลี่ย ควรใช้วิธีการสร้างงานใหม่ที่มีรายได้แน่นอนและมีความเสี่ยงต่ำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการชำระหนี้ให้กับกลุ่มนี้ เช่น การเพาะกล้าไม้ กิจการทางเลือก ในกองทุนหรือ การดูแลผู้สูงอายุ จ้างติดโซล่าเซลล์ เป็นต้น สำคัญที่สุด สามขั้นตอนนี้ รัฐบาลควรเข้ามาเป็นผู้ผลักดันให้เกิดขึ้นจริง” ดร.เดชรัตกล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 8 มี.ค. 2564

โอ้วว "กองทุนฟื้นฟูฯ" เปิดตัวเลขหนี้เกษตรกรกว่าแสนล้านบาท

FarmerDebtFund

"กองทุนฟื้นฟูฯ" เปิดตัวเลขเกษตรกรเป็นหนี้ 508,942 ราย มูลค่าหนี้รวม 104,226 ล้านบาท พร้อมขอเชิญชวนเกษตรกรขึ้นทะเบียนหนี้ได้ตลอดปี ลั่นเดินหน้าแก้หนี้เต็มพิกัด ทั้งหนี้มีหลักทรัพย์และหนี้บุคคลค้ำประกัน

กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เงียบหายไปนาน หลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยก็อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก มีแรงงานว่างงานไม่มีรายได้มายังชีพ ขณะที่ครอบครัวเกษตรกรไทยก็ได้รับผลกระทบจากญาติพี่น้องถูกเลิกจ้าง เช่นกัน

ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แล้ว  จากการเปิดใจให้สัมภาษณ์ของ นายสมยศ ภิราญคำ รองเลขาธิการ รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เปิดเผยว่า สำหรับเกษตรกรสมาชิก ที่มีความประสงค์ขอขึ้นทะเบียนหนี้เกษตรกร สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดทั่วประเทศได้ทุกวันในวันและเวลาทำการ

ทั้งนี้ การเปิดรับขึ้นทะเบียนหนี้ได้ตลอดทั้งปี ถือเป็นอีกหนึ่งการทำงานเพื่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ จากเดิมที่กำหนดเปิดรับขึ้นทะเบียนเพียงช่วงเวลา 3-6 เดือนในแต่ละปี แต่เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่นำมาซึ่งประโยชน์ในการส่งเสริม สนับสนุนและรักษาอาชีพเกษตรกรรมของเกษตรกร รวมถึงการรักษาพื้นที่ทำกินให้เกษตรกร กองทุนฟื้นฟูฯ จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนหนี้ ได้ทุกวันทำการ

“ ต้องขอชี้แจงว่า การขึ้นทะเบียนหนี้กับ กฟก. มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ขอเพียงมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานสาขาจังหวัดที่เกษตรกรมีที่อยู่อาศัย โดยเอกสารสำคัญที่ใช้ยื่นประกอบพร้อมแบบฟอร์มขอขึ้นทะเบียน เช่น หลักฐานการเป็นหนี้ สัญญากู้ยืมเงิน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน

แต่หากเป็นเกษตรกรที่ถูกฟ้องร้องบังคับคดี จำเป็นต้องแนบหลักฐานการฟ้องด้วย โดยยื่นเอกสารทั้งหมดพร้อมแบบฟอร์มกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสาขา จากนั้นสาขาจะรวบรวมรายชื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ จังหวัดพิจารณาอนุมัติ ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ” รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กล่าว

นายสมยศ กล่าวต่อไปว่า การพิจารณาว่าเกษตรกรท่านใด จะได้รับการขึ้นทะเบียนหนี้หรือไม่นั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็นเกษตรกร ตามนิยมคือ มีรายได้มาจากการประกอบอาชีพเกษตร มากกว่าร้อยละ 50

และที่สำคัญอีกประการ คือ ต้องเป็นหนี้ในระบบ เช่น เป็นหนี้ธนาคาร หนี้สหกรณ์ ที่นำไปประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดังนั้นถ้าข้อมูลและเอกสารถูกต้องครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ รับรองได้ว่าเกษตรกรต้องได้รับการช่วยเหลือทุกราย" นายสมยศ กล่าว

“ ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้ จำนวน 508,942 ราย มูลค่าหนี้รวม 104,226 ล้านบาท ซึ่งกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ดำเนินการจัดการหนี้ หรือชำระหนี้แทนให้เกษตรกรแล้ว เป็นจำนวนถึง 30,000 ราย เป็นเงินเกือบ 7,000 ล้านบาท ส่วนกรณีของหนี้ NPA หรือที่เรียกว่า ทรัพย์สินที่ถูกขายทอดตลาด เป็นหนี้อีกประเภทหนึ่งที่กองทุนฟื้นฟูฯกำลังดำเนินการช่วยเหลือด้วยการขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อดำเนินการซื้อทรัพย์สินคืนให้พี่น้องเกษตรกร และมีผลดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการซื้อทรัพย์คืนเกษตรกร ไปแล้ว 500 กว่าราย เป็นเงินกว่า 300 ล้าน” นายสมยศ กล่าว

นายสมยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การแก้ไขหนี้สินของเกษตรกรสมาชิกในอนาคต กองทุนฟื้นฟูฯ ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทั้งในปีงบประมาณ 2564 และที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 เช่น การแก้ไขกฏหมายผ่านทางรัฐสภา ซึ่งล่าสุดคือ การแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563

ที่มา : คมชัดลึก วันที่ 17 มิ.ย. 2564

ติดตามเราได้ที่ facebook youtube

ผู้เข้าชม

6797415
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
ทั้งหมด
2779
6638
43170
26321
6797415

Your IP: 18.224.59.231
2024-05-03 16:07